หลังจากสหรัฐฯออกกฎห้ามสายการบินที่บินจากตะวันออกกลาง ให้ผู้โดยสารพกแล็ปท็อปและแท็บเล็ทติดตัวขึ้นเครื่องบิน ก็เกิดกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่ากฎนี้กระทบกับผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการ จนล่าสุด สหรัฐฯยอมรับว่ากำลังเตรียมพิจารณายกเลิกกฎนี้กับทุกสายการบิน
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ประกาศว่ากำลังพิจารณาคำขอของสายการบินตะวันออกกลาง 3 ราย ในการยกเว้นกฎเกณฑ์ของสหรัฐฯที่ออกมาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ห้ามสายการบิน 9 รายในตะวันออกกลาง ให้ผู้โดยสารนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดกลางอย่างแล็ปท็อปและแท็บเล็ทติดตัวขึ้นเครื่องบิน เพื่อป้องกันการก่อการร้ายโดยซุกซ่อนระเบิดมาในอุปกรณ์เหล่านี้
สามสายการบินที่ว่านี้ได้แก่ซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ หรือซาอุเดีย ของซาอุดีอาระเบีย / รอยัล แอร์ มาร็อก ของโมร็อกโก และอียิปต์แอร์ของอียิปต์ โดยอียิปต์แอร์เปิดเผยว่าได้รับการยกเว้นจากกฎดังกล่าวในวันพุธที่ผ่านมา (12 กรกฎาคม) ขณะที่อีกสองสายการบิน จะได้รับการยกเว้นจากกฎนี้ในวันที่ 19 กรกฎาคม
ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา มี 6 สายการบินแล้วที่ได้รับการยกเว้นจากสหรัฐฯ ให้ไม่ต้องทำตามกฎห้ามนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่อย่างแล็ปท็อปและแท็บเล็ทขึ้นเครื่องบิน ได้แก่ รอยัล จอร์แดเนียน แอร์เวย์ ของจอร์แดน และคูเวต แอร์เวย์ ได้รับการยกเว้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (9 กรกฎาคม) และสายการบินเอมิเรตส์ เอทิฮัด กาตาร์แอร์เวย์ และเตอร์กิชแอร์ไลน์ ก็เป็นสายการบินกลุ่มแรกๆที่ได้รับการยกเว้นไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนเช่นกัน
นับตั้งแต่สหรัฐฯออกกฎห้ามสายการบินในตะวันออกกลางที่บินจากตะวันออกกลาง ให้ผู้โดยสารนำแล็ปท็อปติดตัวขึ้นเครื่อง บวกกับนโยบายแบนคนมุสลิม 7 ประเทศตะวันออกกลางไม่ให้เข้าสหรัฐฯ สายการบินในตะวันออกกลางก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก จนถึงกับมีทฤษฎีที่ว่ารัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกนโยบายนี้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้สายการบินอเมริกัน มากกว่าเป็นเรื่องความปลอดภัยและมาตรการป้องกันการก่อการร้ายจาก IS ตามที่กล่าวอ้าง
การเลิกแบนแล็ปท็อปบนเครื่องบินใน 9 สายการบินตะวันออกกลาง ไม่ได้เกิดจากการที่สหรัฐฯเห็นว่าความเสี่ยงจากการก่อการร้ายลดลงหรือหมดไป แต่เป็นเพราะมีการออกมาตรการใหม่ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจค้นก่อนขึ้นเครื่องบิน ตามสนามบินที่ถูกประเมินว่าเป็นจุดเสี่ยง ซึ่งการเพิ่มมาตรการตรวจค้นนี้ จะส่งผลกระทบให้ผู้โดยสาร 325,000 คนต่อวันที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯจากสนามบินที่เป็นจุดเสี่ยง ต้องเสียเวลามากกว่าเดิมในกระบวนการขึ้น-ลงจากเครื่องบิน แต่ก็ยังถือว่าเป็นผลกระทบที่น้อยกว่าการถูกห้ามนำแล็ปท็อปหรือแท็บเล็ทติดตัวขึ้นเครื่องบิน