คำสั่งห้ามพลเมือง 8 ประเทศเข้าสหรัฐฯของโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์แล้วหลังจากศาลสูงสุดรับรองว่ากฎดังกล่าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ภาคธุรกิจกลับมองว่าคำสั่งนี้จะทำร้ายเศรษฐกิจสหรัฐฯ สวนทางกับนโยบาย America First ของทรัมป์
ศาลสูงสุดสหรัฐฯออกคำพิพากษาที่พลิกความคาดหมายของคนทั้งโลก ด้วยการรับรองให้คำสั่งแบนพลเมือง 6 ชาติมุสลิมและ 2 ชาติที่ไม่ใช่มุสลิมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทำให้จากนี้ไป พลเมืองจากอิหร่าน ชาด ลิเบีย ซีเรีย โซมาเลีย เยเมน รวมถึงเกาหลีเหนือและเวเนซุเอลา ไม่สามารถเข้าสหรัฐฯได้ ยกเว้นผู้ได้กรีนการ์ดแล้วหรือถือ 2 สัญชาติ รวมถึงผู้ที่มีญาติใกล้ชิดอยู่ในสหรัฐฯ
การแบนพลเมือง 8 ชาติตามคำสั่งทรัมป์ มีรายละเอียดต่างกันเล็กน้อยในแต่ละประเทศ ดังนี้
1. ชาด ลิเบีย เกาหลีเหนือ ซีเรีย เยเมน แบนผู้ขอวีซาผู้อพยพ ธุรกิจ และท่องเที่ยว
2. อิหร่าน แบนผู้ขอวีซาผู้อพยพ ธุรกิจ และท่องเที่ยว แต่อนุญาตวีซานักเรียนและ exchange visitor
3. โซมาเลีย แบนเฉพาะผู้ขอวีซาผู้อพยพ ยกเว้นครอบครัวที่ต้องการการรักษาทางการแพทย์
4. เวเนซุเอลา แบนผู้ขอวีซาท่องเที่ยวและธุรกิจที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐ
การเลือกให้ผู้อพยพเพียงจำนวนน้อยนิดเข้าสหรัฐฯได้ ส่งผลโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจอเมริกัน โดยนิตยสารฟอร์บสระบุว่า ผลประการแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือบรรษัทอเมริกันขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงานได้ตามที่ต้องการ ทั้งที่ในปัจจุบัน การประกอบธุรกิจของบรรษัทขนาดใหญ่ล้วนเป็นการไปตั้งฐานการผลิตในต่างแดน และเคลื่อนย้ายพนักงานไปมาระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ บรรษัทข้ามชาติอเมริกัน และพลเมืองอเมริกันในต่างแดนยังเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ที่ชาติที่โดนแบนจะกระทำต่อสหรัฐฯ เป็นไปได้สูงที่ 8 ประเทศที่ถูกแบนจะยกกำแพงภาษีขึ้นมากีดกันสินค้าอเมริกัน เพิ่มกฎเกณฑ์ที่ทำให้ธุรกิจอเมริกันต้องยุ่งยากมากขึ้นในการประกอบธุรกิจในประเทศนั้นๆ หรือแม้แต่ตั้งกฎการแบนพลเมืองอเมริกันไม่ให้เข้าประเทศ แม้ว่า 8 ประเทศที่ถูกแบนจะไม่ใช่ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และไม่ได้มีนักลงทุนอเมริกันเข้าไปลงทุนมากนัก แต่ก็ทำให้ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ"ด้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด ก็คือการขาดแคลนแรงงาน ทั้งแรงงานในภาคบริการที่สหรัฐฯพึ่งพิงผู้อพยพจากชาติมุสลิมเกือบ 100% และแรงงานในกลุ่มธุรกิจไอที ที่จำนวนมากเป็นคนจากประเทศมุสลิมเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่มีการประกาศกฎแบนพลเมืองชาติมุสลิมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กลุ่มนักธุรกิจยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์ จึงเดินหน้าคัดค้านกฎนี้อย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล
ในระยะยาว การแบนพลเมือง 8 ประเทศ ซึ่งเป็นการตอกย้ำนโยบายไม่เป็นมิตรต่อผู้อพยพลี้ภัยของรัฐบาลสหรัฐฯในยุคทรัมป์ จะกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนระดับมันสมอง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ หรือนักลงทุนจากต่างชาติ หลีกเลี่ยงที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ แม้จะไม่ใช่คนจาก 8 ชาติที่ถูกแบน เนื่องจากไม่ต้องการถูกเพ่งเล็ง เลือกปฏิบัติ หรือเสี่ยงต่อกฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาและไม่เอื้อต่อการตั้งถิ่นฐานของคนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวมุสลิม ซึ่งจะกลายเป็นภาวะสมองไหลที่ส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสหรัฐฯในอนาคต