การเยือนภูมิภาคคาร์คีฟของเซเลนสกีในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดียูเครนเดินทางออกนอกภูมิภาคเคียฟ นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มทำการรุกรานยูเครนในวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยภายหลังจากการรุกรานของรัสเซีย เซเลนสกีกล่าวต่อประชาชนว่าตนจะไม่ยอมเดินทางออกจากกรุงเคียฟ และจะอยู่ปกป้องประเทศตนเองจนกว่าสงครามจะจบลง
เซเลนสกีในชุดสีเขียวพร้อมเสื้อเกราะลายพราง กล่าวขอบคุณทหารในคาร์คีฟว่า “ผมอยากจะขอบคุณพวกคุณทุกคน สำหรับการอุทิศตนของพวกคุณ” ทั้งนี้ เซเลนสกีได้ไล่หัวหน้ากองกำลังรักษาความปลอดภัยในท้องที่คาร์คีฟออก จากเหตุผลว่า “ไม่ปกป้อง” เมืองของตนเอง
รัสเซียกลับมาเปิดฉากการยิงโจมตีคาร์คีฟ เมืองใหญ่ที่สุดอันดับที่สองของยูเครนอีกครั้ง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นับตั้งแต่รัสเซียหยุดการยิงถล่มไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โดยสภาพของคาร์คีฟปัจจุันเต็มไปด้วยตึกที่พังทลายกลายเป็นซากปรักหักพัง หลังจากรัสเซียยิงถล่มเมืองด้วยขีปนาวุธและปืนใหญ่ในช่วงเดือนแรกของสงคราม
กองทัพของรัสเซียค่อยๆ ถูกกองทัพยูเครนผลักดันให้ถอยร่นกลับไปยังฝั่งตะวันออก นับตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย. และ พ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่กองทัพยูเครนจะกลับเข้ามาควบคุมพื้นที่ของเมืองได้อีกครั้ง พร้อมกับการเดินทางกลับเข้ามายังเมืองของประชาชน ที่ลี้ภัยสงครามออกไปยังฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ดี คาร์คีฟยังอยู่ในระยะกระสุนปืนใหญ่ของรัสเซีย และยังคงมีเสียงระเบิดเกิดขึ้นเป็นระยะ หลังการเดินทางเยือนของเซเลนสกี
ทางการยูเครนเปิดเผยว่า มีอาคารในเมืองและภูมิภาคคาร์คีฟ 2,229 หลังที่ถูกทำลายลง ก่อนที่จะยืนยันว่า ทางการจะทำการซ่อมแซมทุกเมืองที่ถูกรัสเซียโจมตี ให้กลับมาเหมือนใหม่อีกครั้ง พร้อมกับนำชีวิตชีวาของประชาชนชาวยูเครนให้กลับมาเหมือนเดิมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ประธานาธิบดียูเครนยืนยันว่า ประเทศของตนจะชนะสงคราม “อย่างแน่นอน”
การเยือนคาร์คีฟของเซเลนสกี เป็นภาพสะท้อนการโต้กลับของยูเครน ในการผลักดันกองทัพรัสเซียให้ถอยร่นออกนอกประเทศของตน อีกทั้งยังเป็นการยืนยันสถานะการกลับมาครอบครองเมืองหลักแห่งที่สองของประเทศได้อีกครั้ง นับตั้งแต่รัสเซียบุกยึดหลายพื้นที่ของยูเครนไปได้ในช่วงแรกของการเข้ารุกราน อย่างไรก็ดี สมรภูมิหลักของรัสเซียยังคงเป็นภูมิภาคดอนบาสทางตะวันออกของยูเครนอยู่เช่นเคย
ที่มา: