วันที่ 17 ก.พ. 2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเรื่องด่วนญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 10 คนนั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ว่า ไม่อาจไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เพราะแค่ประชาชนไม่มีสมาร์ตโฟน ก็ถูกลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ลง ถูกด้อยค่า ไปเข้าแถวลำบากเพื่อรอรับเงินเยียวยา 7,000 บาท ถือเป็นความล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เหตุผลสำคัญมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ มีฐานจิต วิธีคิดท้ำที่ผิดพลาด ก่อให้เกิดความล้มเหลว
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นโรคคลั่งไคล้ตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder – NPD) โรคนี้มีอาการอยู่ 17 อย่าง โดยเฉพาะข้อ 15 เข้าข่ายอาการของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างยิ่ง ที่มักจะไม่ยอมรับความผิดของตนเอง มักโยนเรื่องต่างๆให้เป็นความผิดของคนอื่น อย่างเช่น ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปรายเรื่องการซื้ออาวุธของกองทัพ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับหยิบโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาโต้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่เหมาะกับการเป็นนายกรัฐมนตรี
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ได้รวบอำนาจ มาไว้ที่ ศบค. ให้ปลัดกระทรวงเป็นกรรมการ โดยที่รัฐมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง พล.อ.ประยุทธ์ บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน เหมือนกับไม่ฉุกเฉิน เพราะแม้โรคโควิด-19 จะเกี่ยวกับสุขภาพ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเอาฝ่ายความมั่นคงมาคุมสถานการณ์ ใช้ทหารมาควบคุมโรค เพราะคุ้นชินกับการเสพติดอำนาจ คุ้ยเคยกับการมีมาตรา 44 การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่สนใจการมีส่วนร่วม
ฉายสไลด์ขบวนการจ่ายส่วยบ่อนพนัน แรงงานข้ามชาติ-คนระดับสูงเอี่ยวด้วย
นพ.ชลน่าน ระบุ เมื่อมีการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ อันเกิดจากการปล่อยปะละเลยให้แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ บ่อนการพนัน โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐรับส่วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปราย นพ.ชลน่าน ได้ฉายสไลด์แสดงการจ่ายส่วยและการรับส่วยของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมีตำแหน่งใหญ่สุดเป็นระดับหัวหน้า ตัวย่อ อ.6 รุ่น 36 รองลงมาเป็น พ.ต.อ. ตัวย่อ พ.9 รุ่น 42 ถัดมาเป็น พ.ต.อ. ตัวย่อ ป.8 รุ่น 42 รองลงมาอีกเป็น พ.ต.อ. ตัวย่อ ส.5 รุ่น 42 สุดท้าย เป็น หมวด ม.12/1 ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าทีม
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า กระบวนการเหล่านี้ ล้วนมีคนระดับสูงอยู่เบื้องหลัง เมื่อถูกจับกุมออกข่าว แต่ไม่นาน เรื่องก็จะเงียบหายไป จึงเชื่อได้ว่า มีคนระดับบนรู้เห็นเป็นใจอย่างเป็นระบบ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังปกบิดข้อมูลการติดเชื้อโควิด-19 จริง โดยภายหลังเกิดการระบาดที่ จ.สมุทรสาคร รัฐบาลเลือกใช้วิธีการให้แรงงานกักตัวอยู่ในบริเวณเดียวกัน แทนการตรวจเชื้อหาโรคอย่างละเอียด ซึ่งหากมีการตรวจอย่างละเอียด จะทำให้พบจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก และรัฐบาลก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ไม่ไว้วางใจ 3 ป. ไม่ยึดมั่นในประชาธิปไตย ข้องใจ 'ประวิตร' ไม่ปฏิญาณธงชัยเฉลิมพล
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังสร้างความกลัวให้กับประชาชน เช่น มาตรการของ ศบค.ล้วนมีปัญหากับประชาชน ยกตัวอย่างการขู่ว่าหากไม่ลงทะเบียนเราชนะจะติดคุก แทนที่จะให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน แต่รัฐบาลกลับเลือกสร้างความกลัวในหมู่ประชาชน
“ผมไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พวกท่านไม่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยปี 2557 มีการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำลายล้างอำนาจที่มาจากประชาชน และวันที่ 7 ธ.ค.2557 พล.อ.ประวิตร จงใจ ไม่กล่าวคำปฏิญาณในพิธีพระราชทานธงชัยเฉลิมพล โดยไม่พูดว่า จักรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ระบอบประยุทธ์ ตัดตอนประเทศไทย ยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ โดย 3 ป.ยึดอำนาจ เขียนรัฐธรรมนูญ จัดการเลือกตั้ง กระจายขุมกำลัง ใช้อำนาจผูกขาด มีการแบ่งบทบาทกันทำ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ตั้ง ส.ว. ตั้งองค์กรอิสระ และเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ตั้งพรรคการเมือง ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ ดูแลท้องถิ่น นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ให้ความสำคัญของสภา ไม่เคยมาตอบกระทู้ ที่สำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่แล้ว เมื่อฝ่ายค้านขอขยายเวลา พล.อ.ประยุทธ์ ยังบอกว่า “จะให้เวลามาด่าผมอีกทำไม”
'ประวิตร' แจงเป็นคนละกรณี ปมธงชัยเฉลิมพล แค่นำทหารไปรับพระราชทาน
เวลา 17.26 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลุกขึ้นชี้แจงเป็นครั้งแรกในสภาฯ ว่า ตนเองไม่เห็นข้อมูลที่ได้อภิปรายมา จึงขอเวลาสอบสวนดูว่าขบวนการทำงานอย่างไร เพราะเป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ในระดับล่าง เมื่อทราบรายละเอียดแล้ว จะมาชี้แจงให้ทราบ
ส่วนเรื่องการปฏิญาณรับธงชัยเฉลิม พล.อ.ประวิตร ระบุว่า "ที่บอกว่าผมไม่ได้กล่าวข้อความที่เป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณตามรัฐธรรมนูญ เป็นคนละกรณีกัน ข้อความต่างๆ ก็ต่างกัน ไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องธงชัยเฉลิมพล นำทหารไปรับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นคนละเรื่อง"
'ประยุทธ์' ปัดข้อหารวบอำนาจ ไม่มีใครอยากทำ ศก.ไม่ดี
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงกรณีรวบอำนาจแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานอื่น ซึ่งตนเองรู้สึกแปลกใจว่าการตั้งประเด็นดังกล่าว อาจเพราะไม่มีความเข้าใจสถานการณ์บทบาทหน้าที่และการบริหารราชการถึงโครงสร้าง โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาท บางคนสรุปเนื้อหาด้วยตัวเองอาจจะได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ ซึ่งหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวงมีข้อกฏหมายที่แตกต่างกัน และยืนยันว่ามีการรับฟังและทำงานร่วมกันกับทุกกระทรวงและทุกระดับ
"ไม่มีใครอยากทำให้ทุกคนลำบากหรือเศรษฐกิจไม่ดี เพราะไม่มีใครมีเจตนาแบบนั้น แม้การบริหารอาจจะไม่ถูกใจแต่ขอให้เข้าใจว่าทุกคนทำงานอย่างเต็มที่"
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า อย่าหาว่าตนเองรวบอำนาจหากใช้อำนาจแบบนั้นตนคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ และตนเองก็ชอบทำงานแบบนี้ ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น แต่ยอมรับว่าบางครั้ง ช่วงที่ผ่านมาอาจมีความจำเป็นอยู่บ้าง ในช่วงสถานการณ์ไม่สงบสุขเรียบร้อย เช่น ในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนลืมไปแล้วว่าสถานการณ์ที่สงบสุขมา 4-5 ปี เพราะอะไร จึงขอให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์โดยไม่บิดเบือน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 โดยเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนที่มีโรคซาร์ โรคเมอร์ส ซึ่งบอกว่าจำได้เมื่อสมัยก่อนที่จะยับยั้งการแพร่ระบาด จากสัตว์สู่คน ต้องมีค่าการฆ่าไก่เป็นล้าน ตัวซึ่งง่ายกว่านี้ แต่ชีวิตมนุษย์ไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ แต่ไม่รู้ว่ารัฐบาลไหนทำ
เดือดถูกกล่าวหารับผลประโยชน์ ยัน 3 ป.ไม่มีใครรับเงิน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการทุจริตแก้ปัญหา โควิด-19 การเรียกรับผลประโยชน์และปัญหาแรงงานข้ามชาติ โดยพูดด้วยเสียงเข้มแข็ง ว่า "3 ป.ไม่มีใครรับเงิน" ขอให้ไปพิสูจน์มา หาประจักษ์พยานมาและไปสู้กันในคดี สมาชิกทุกคนพูดได้ตนเองก็พูดได้เหมือนกันแต่ต้องรักษากิริยาด้วย เพราะทราบว่าฝ่ายค้านต้องการให้ตนโมโหซึ่งบอกไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องยาก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงโครงการ "เราชนะ" ที่ออกมาตรการมาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะต้องบริหารประชาชนทั้งประเทศเมื่อระบบออนไลน์ไม่ได้ก็ต้องทำระบบออฟไลน์ ถึงขณะนี้กระจายไปหลาย 10 ล้านคนแล้ว และจำนวนที่เหลืออยู่มีไม่มากนัก แต่รูปที่มีการนำมาเผยแพร่หรือรูปวันแรก พร้อมย้ำว่า ไม่มีใครอยากไม่ให้เพราะไม่ใช่เงินของตนเอง เป็นเงินของทุกคนแต่ขออย่าไปพูดบิดเบือนให้เสียหายว่ารัฐบาลไม่ให้ความสนใจ
ส่วนข้อกล่าวหาว่าเว็บไซต์ "ไทยชนะ" ละเมิดสิทธิมนุษยชนและบังคับประชาชน ขอถามว่าบังคับตรงไหน เพราะหากเกิดการติดเชื้อและแพร่ระบาด จะไปตามจากที่ไหน ขอยืนยันว่าทำเพื่อสุขภาพของทุกคน
ส่วนกรณีแรงงาน ลักลอบเข้าประเทศนั้นตนเองกำลังดำเนินการอยู่ ขออย่่ากลัวเพราะเคยบอกแล้วว่า "รังเกียจคนทำผิดกฎหมาย รังเกียจเงินชั่วๆ ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ผมเกลียดลูกน้องเลวๆ"
ลั่นตัวเองไม่เคยทุจริตจนชิน ย้ำ รธน.เป็นของปวงชนชาวไทย
พล.อ.ประยุุทธ์ ระบุว่า ที่บอกให้ตนเองต้องมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีนั้น เรื่องนี้อยู่กับตนเองมาตั้งแต่เกิด อยู่ในสายเลือดตั้งแต่เกิดจนตาย ขออย่ามาบอกว่าไม่เคารพในศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตนเองไม่เช่นนั้นคงไม่มาอยู่แบบนี้ ก่อนจะระบุว่า "วันนี้ไม่ได้โมโหนะ" ขณะนี้ตนมีข้อมูลมากขึ้นและกำลังดำเนินการอยู่และจะดำเนินการกับทุกส่วนที่มีความเกี่ยวข้องทั้งตำรวจและทหารแต่ไม่สามารถพูดได้ ไม่ใช่ว่าตนไม่รู้
นายกฯ พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดโดยย้ำว่า "ผมไม่เคยทุจริตจนคุ้นชิน เคยชิน พวกผมไม่เป็นอย่างนั้น ท่านพูดออกมาให้ประชาชนข้องใจ ท่านจะว่าอย่างไรก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ที่พูดในสภาได้ทั้งหมด แต่หากไปพูดข้างนอกก็ต้องมีปัญหา"
ขณะที่มาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อควบคุมสถานการณ์แต่ก็ถูกตีกลับมาอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ใช่ ขอให้เอาไว้ฝ่ายค้านมาเป็นรัฐบาลและอวยพรอยากให้เป็น แต่จะได้เป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทั้งที่เข้ามาในกระบวนการเดียวกันแต่ก็พูดมาก
ส่วนกรณีเงินสมทบ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่จ่ายแต่ส่วนที่จ่ายไม่ครบ ก็ต้องทยอยจ่ายให้ครบ การที่มาบอกว่าเบียดบังงบประมาณนั้นถามว่าเงินเหล่านั้นใช้ไปในการดูแลใคร ตนไม่ได้เอามาใช้เอง ไม่ต้องการได้หน้าเรื่องแบบนี้
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ต้องทำให้คนอื่นรักกันสามัคคีกัน อย่าแบ่งแยกคนเพราะตนเองไม่เคยแบ่งแยกใคร ต่อให้ใครไม่รักตนแต่ตนก็รัก และไม่ได้เดือดร้อนมาให้ใครจะรักไม่รักแค่พูดให้ฟัง เพราะต้องทำงานให้คนส่วนใหญ่คนทั้งประเทศที่เรียกว่าปกชนชาวไทย เพราะรัฐธรรมนูญเป็นของปวงชนชาวไทยไม่ใช่เป็นของประชาชนพวกใดพวกหนึ่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง