เข้าสู่ฤดูร้อนหรือหน้าแล้งปี 2559 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ กรมชลประทานซึ่งเป็นเจ้าภาพหลัก ได้เริ่มบริหารจัดการน้ำในปีนี้จากการแบ่งการใช้น้ำที่มีอยู่ในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ
สถานการณ์น้ำในภาพรวมทั้งประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 52 เป็นน้ำที่ใช้การได้ร้อยละ 32 ซึ่งจำนวนนี้หากไม่มีฝนตกเพิ่ม จะเพียงพอใช้ถึงเดือนกรกฎาคมนี้(59) ภายใต้การจัดการน้ำ ที่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและใหญ่ทั่วประเทศ
ในจำนวนนี้ พื้นที่ที่มีปริมาณน้ำที่อยู่ในขั้นน้อยมากๆ คือ ภาคเหนือ มีน้ำใช้การเพียงร้อยละ 16 ซึ่งน้ำส่วนนี้ สะท้อนปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ใน 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ซึ่งอยู่ในภาคเหนือ ส่วนเขื่อนหลักในลุ่มเจ้าพระยา อยู่ในภาคกลางเพียงแห่งเดียว คือ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
น้ำในลุ่มเจ้าพระยา ครอบคลุม 22 จังหวัดภาคเหนือและภาคกลาง เป็นปริมาณน้ำที่ไม่ได้วางแผนจัดการไว้ใช้ทำนาปรัง แม้จะมีจำนวนลดลง
แต่ยังมีเกษตรกรบางรายยินดีรับความเสี่ยง และยังปลูกข้าวนาปรังทั้งที่รู้ว่าน้ำข้างต้น แบ่งไว้ใช้ในกลุ่มพืชไม้ผลและพืชไร่ประจำถิ่น เช่น อ้อย ที่ 400 ล้านลูกบาศก์เมตร
น้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค 3,034 ล้านลูกบาศก์เมตร และรักษาระบบนิเวศน์ ซึ่งรวมถึงการผลักดันน้ำเค็ม 2,600 ล้านลูกบาศก์เมตร กรมชลประทาน ยืนยันปริมาณน้ำทั้งหมด สามารถใช้การได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - กรกฎาคมนี้ ภายใต้เงื่อนไขว่า หากฝนไม่ตก ซึ่งความเป็นไปได้ต่ำ เพราะช่วงนั้น เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว
สำหรับการจัดการน้ำของรัฐบาล เป็นไปยุทธศาสตร์คณะกรรมการน้ำแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา, กระทรวงเกษตรฯ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยืนยันปีนี้ไม่วิกฤต
ส่วนแผนจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ให้ความสำคัญกับการรักษาระบบนิเวศน์มากที่สุด ร้อยละ 48 รองลงมาคือภาคการเกษตร ร้อยละ 31 , เพื่อการอุปโภค-บริโภค ร้อยละ 19 และภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 2 ซึ่งแผนนี้จะใช้ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม(59) เช่นเดียวกับแผนจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำ 4 แห่งในลุ่มเจ้าพระยา