ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก แทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. พร้อม สวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ ได้เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีรุกป่าเขาแพง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายแทนและพวกรวม 4 คน
ในความผิดฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครอง หรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2518 มาตรา 22
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 4 ก่อนจะได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้อง แทน กับพวก ซึ่งเป็นนายหน้าขายที่ดิน และผู้จัดการหุ้นส่วนนิติบุคคลอีก 3 คน ไม่ผิดตามข้อกล่าวหาอัยการโจทก์
เนื่องจากพยานหลักฐานยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่า ที่ดินที่สร้างอ่างเก็บน้ำและถนนคอนกรีต ขณะเกิดเหตุ เป็นที่ดินป่าตามองค์ประกอบกฎหมายประมวลที่ดินตามมาตรา 2 และ พ.ร.บ.ป่า พ.ศ.2484 ม.4 (1) ซึ่งพื้นที่ข้างเคียงฟังได้ว่ามีชาวบ้านปลูกพืชพันธุ์ต่อเนื่อง
ด้านทนายเผยถึงความคืบหน้าในคดีว่าฝ่ายอัยการเป็นโจทก์ยื่นฎีกา ส่วนฝ่ายจำเลยก็มีหน้าที่แก้ฎีกา ว่าสภาพของที่ดินเป็นอย่างไร เป็นป่าหรือไม่ เราก็บอกว่าไม่เป็นป่า เพราะโดยสภาพประชาชนเขาครอบครองกันมาต่อเนื่องมาตั้งแต่โบราณ แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของผู้พิพากษาว่าจะมองอย่างไร ทางเราก็มาตามหมายนัดในวันนี้ ซึ่งไม่อาจคาดเดาคำพิพากษาของศาลได้
ล่าสุด ทนายสวัสดิ์ เจริญผล เผยว่า ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว แต่ว่ากระบวนการตัดสินยังไม่เรียบร้อย เนื่องจากว่าคดีนี้มีการฟ้องคดีตั้งแต่ปี 2556 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 4 ให้จำคุกไม่รอการลงโทษ ซึ่งจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแยกเป็น 2 ส่วน คือจำเลยที่1-2 นั้น ศาลเห็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ชัดเจน ไม่ชอบด้วยป.วิ.อาญา จึงทำการยกฟ้องจำเลยที่ 1-2 สำหรับจำเลยที่3-4 ศาลได้ยกฟ้องในข้อเท็จจริงว่าไม่ได้กระทำความผิด
แต่โจทก์ก็ได้ยื่นฎีกาว่า สำหรับจำเลยที่1-2 นั้นไม่ได้ฟ้องเคลือบคลุม ขอให้มีการลงโทษ ศาลฎีกาจึงได้ประชุมปรึกษาหารือตามสำนวนคำพิพากษา และตัดสินว่ากรณีการบรรยายของโจทก์สำหรับจำเลยที่1-2 นั้นครบถ้วนชัดเจน ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่ถือเป็นการฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แต่เพื่อให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนของศาล จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี หมายความว่าศาลชั้นต้นจะต้องส่งสำนวนคดีทั้งหมด กลับไปยังศาลอุทธรณ์อีกครั้ง
เมื่อการพิจารณาพิพากษาในชั้นอุทธรณ์แล้วเสร็จ ทางศาลจะมีหมายแจ้งนัดให้จำเลยทั้ง 4 ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้ง ซึ่งการย้อนสำนวนถือเป็นเรื่องปกติ และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาความผิดของจำเลยทั้ง 4 ได้ โดยไม่ต้องมีการสืบพยานหรือไต่สวนใหม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีกทีหนึ่ง