วันที่ 20 มี.ค. 2566 บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด แจ้งว่า กรณีโครงการท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินของกรุงเทพมหานคร ซึ่ง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผลักดันนโยบายนี้ด้วยการไม่ใช้งบประมาณของกทม. มาตั้งแต่ปี 2561 โดยมอบหมายให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ไปดำเนินการก่อสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน ความยาว 2,400 กิโลเมตร มูลค่าราว 20,000 ล้านบาท ผู้บริหารบริษัทขณะนั้นจึงรับนโยบายมาดำเนินการ โดยประกาศเชิญชวนให้เอกชนร่วมลงทุนก่อสร้างโครงการ โดยอนุญาตให้เอกชนหารายได้จากการให้เช่าท่อร้อยสายใต้ดินนี้ได้ ตามนโยบายของอดีตผู้ว่าฯ กทม.
ต่อมา ผู้บริหารบริษัทในอดีตได้ดำเนินการคัดเลือกและเจรจากับเอกชนผู้ประกอบการสื่อสารรายใหญ่ บริษัท ทรู อินเตอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อทำสัญญาเป็นผู้เช่าหลัก ให้ความจุท่อร้อยสายส่วนใหญ่ 80% โดยมีเงื่อนไขขอเก็บเงินค่าเช่าล่วงหน้า 50 % (จำนวน 13,500 ล้านบาท) เพื่อจะนำมาใช้ร่วมลงทุนสำหรับงานก่อสร้าง แต่การเจรจาไม่บรรลุผล บริษัทจึงยังไม่มีเงินค่าเช่าล่วงหน้าตามแนวคิดนโยบายข้างต้น
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นอดีตผู้บริหารบริษัทก็ดำเนินการคัดเลือกกลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้าง 4 ราย สำหรับ 4 พื้นที่ได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินทั้ง 4 สัญญา รวมความยาวท่อ 2,450 กิโลเมตร วงเงิน 21,723 ล้านบาท ลงนามสัญญากันในวันที่ 14 พ.ค.2562 แม้จะยังไม่มีเอกชนรายใดมาเป็นผู้ร่วมลงทุน 50% ก็ตาม
โครงการนี้เป็นอีก 1 กรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวนในประเด็น โครงการของรัฐเข้าข่ายหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) ตลอดจนการใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยอ้างระเบียบภายในของบริษัท ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้เรียก ผศ.ประแสง มงคลศิริ ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เพื่อไปให้ปากคำและแสดงเอกสารหลักฐานชี้แจงต่อคณะกรรมการไต่สวนของป.ป.ช. ไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้
ประแสง กล่าวว่า “ข้อเท็จจริงที่ให้การต่อป.ป.ช.นั้น เป็นการยืนยันว่า ผู้บริหารบริษัทชุดปัจจุบันได้สั่งระงับโครงการนี้ไปแล้ว และได้ชี้แจงถึงความคืบหน้างานก่อสร้างที่ผ่านมา 3 ปี ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จเพียง 9.9 กิโลเมตร โดยใช้เงินลงทุนของบริษัทไปแล้วราว 200 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) ค่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา 5 สัญญา รวม 81 ล้านบาท และ (2) ค่าก่อสร้างท่อร้อยสาย 4 สัญญาหลักและอีก 1 สัญญาย่อย รวมเป็นค่าก่อสร้าง 118 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาค่าก่อสร้างตามสัญญากับผู้รับเหมาที่ค้างอยู่อีกราว 100 ล้านบาท”
สำหรับโครงการก่อสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาทที่เป็นปมปัญหานี้ อดีตผู้บริหารบริษัทได้อ้างระเบียบภายในบริษัท ในการทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง 4 สัญญาหลัก ในขณะที่ยังไม่มีเอกชนรายใดจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 50 % มาร่วมลงทุน จึงเป็นการสร้างภาระค่าใช้จ่ายผูกพันตามสัญญาให้เกิดขึ้นในทันที และได้ซ้ำเติมความเสียหายมากขึ้น จากการทำสัญญาจ้างเพิ่มอีก 1 โครงการย่อย ในช่วงต้นปี 2565 ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเริ่มมีผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท อีกทั้งการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อระเบียบและกฎหมายอย่างชัดแจ้ง บริษัทจึงต้องสั่งระงับโครงการนี้และดำเนินการเอาผิดทางวินัยกับพนักงานที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการป.ป.ช.ก็กำลังดำเนินการทางอาญาไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ปัจจุบันบริษัทได้เริ่มดำเนินการในส่วนคดีแพ่งแล้ว เพื่อเรียกค่าเสียหายกว่า 200 ล้านบาทจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ร่วมชดใช้แก่บริษัท ประกอบด้วยอดีตกรรมการบริษัทหลายคนและอดีตพนักงานบางคนที่ถูกคำสั่งไล่ออกตามโทษทางวินัยไปก่อนหน้านี้แล้ว