นายแพทย์ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคไมเกรนเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อย และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก พบได้ตั้งแต่ช่วงวัยอนุบาล ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเกิดจากพันธุกรรม เด็กจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ถ้าสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคไมเกรน ปัจจัยภายนอกที่อาจกระตุ้นทำให้ปวดศีรษะ เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดในสมองที่มากเกินไป เนื่องด้วยสารเคมีในสมองที่ชื่อว่า เซโรโตนิน ทำงานไม่ปกติ โดยสารนี้ทำหน้าที่ควบคุมการหดขยายของหลอดเลือดในสมอง
โรคไมเกรนแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ไมเกรนที่ไม่มีอาการเตือน พบมากที่สุดในกลุ่มที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน และ ไมเกรนที่มีอาการเตือน อาการเตือนที่พบบ่อย ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ โดยจะเห็นแสงเป็นเส้นซิกแซกคล้ายฟันเลื่อย อาจจะมีหรือไม่มีสีหรือเห็นภาพมืดไปเป็นบางส่วน มองภาพไม่ชัด สามารถสังเกตอาการได้จากเด็กมักบ่นปวดหัวทั้งที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และไม่มีปัญหาเรื่องสายตา ปวดศีรษะบริเวณขมับ หรือหน้าผาก แต่ละครั้งนานเกิน 1 ชั่วโมง ปวดมากเมื่อมีการเคลื่อนไหว คลื่นไส้อาเจียนในบางครั้ง
ด้านนายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคไมเกรนในเด็กไม่มีอันตรายรุนแรง เพียงแต่จะกระทบต่อชีวิตประจำวันทำให้หงุดหงิดงอแงมากกว่าปกติ
วิธีการดูแลและป้องกันเมื่อเด็กมีอาการไมเกรน คือ หลีกเลี่ยงแสงแดด โดยการใส่หมวก ใส่แว่นตา กางร่ม หลีกเลี่ยงอาหาร ช็อกโกแลต ชีส อาหารแปรรูป ไส้กรอก บะหมี่สำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ หลีกเลี่ยงการอดนอน นอนดึก การเล่นเกม การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ การออกกำลังกายที่รุนแรงหรือหักโหมมากเกินไป และควรพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
หากมีอาการปวดศีรษะไม่รุนแรงมากนักให้นอนพัก ถ้าอาการปวดไม่ดีขึ้นให้กินยาพาราเซตามอลเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด แต่หากอาการปวดศีรษะรุนแรงมาก ไม่ดีขึ้น ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที