ภายหลังมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อช่วงปลายเดือน พ.ย. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กำชับให้กระทรวงยุติธรรมไปกำกับเร่งรัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เเละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินคดีเอาผิดกับตัวการรายใหญ่ 3 คดีซึ่งประกอบด้วยคดี หมูเถื่อน คดีหุ้น STARK และ หุ้น MORE
ซึ่งในส่วนคดีคดีหุ้น STARK พนักงานสอบสวนของดีเอสไอสรุปสำนวนคดีทำความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค.ซึ่งทางนายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด ก็ได้มีนโยบายให้กับพนักงานอัยการ ในการทำสำนวนคดีรวดเร็วเป็นธรรม
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม วิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้เปิดเผยความคืบหน้าขั้นตอนภายหลังพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้นำตัวผู้ต้องหาคดีทุจริตในบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)พร้อมสำนวนการสอบสวน รวมถึงเอกสารพยานหลักฐาน ในคดีที่มีการกล่าวหา นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (อยู่ระหว่างหลบหนี) กับพวกรวม 11 คนในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนฯต่อพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษเพื่อพิจารณามีคำสั่งทางคดี เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า
ก่อนหน้านี้ที่ทางสำนักงานอัยการคดีพิเศษได้เคยรายงานความคืบหน้า คดีทุจริตในบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือที่รู้จักกันในนามหุ้นสตาร์ค ซึ่งเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งคดีนี้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด สำหรับคดีนี้เป็นการสอบสวนโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอได้ส่งสำนวนมาให้กับพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษในวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีการกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งหมด 12 คน หลบหนี 1 คน เหลือตัวผู้ต้องหา 11 คนมี5 รายเป็นนิติบุคคล ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนฯข้อหายักยอกทรัพย์และข้อหาฟอกเงิน มูลค่าของความเสียหายจำนวนมากสูงมากถึง 14,000 ล้านบาทเศษ มีผู้เสียหายประมาณ 4,000กว่าคนกับอีก12สถาบันการเงิน สำนวนที่ส่งมามีพยานหลักฐานจำนวนมาก มีเอกสารมากถึง 22 ลังถ้าคิดเป็นจำนวนแฟ้มได้ทั้งหมด 130 กว่าแฟ้มเศษ ซึ่งถือเป็นคดีสำคัญ
ซึ่งเมื่อได้รับสำนวนมาตนในฐานะอธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคดีพิเศษ ทางอัยการสูงสุดซึ่งได้มีนโยบายที่กับพนักงานอัยการ ในการทำสำนวนคดีรวดเร็วเป็นธรรม ตนได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังได้รับสำนวน โดยตั้งอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ1 หรือหัวหน้ากองอัยการคดีพิเศษ 1 เป็นหัวหน้าคณะทำงานร่วมกับ พนักงานอัยการอีก5คน ซึ่งสังกัดอัยการสำนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 เเละ 4 รวมคณะทำงานทั้งสิ้นรวม 6 คน ซึ่งในการพิจารณาคัดเลือกผู้ที่เป็นคณะทำงานในคดีนี้ จะพิจารณาจากพนักงานอัยการที่มีความเชี่ยวชาญด้านตลาดหุ้นและการฟอกเงิน ซึ่งจริงๆแล้วสำนักงานอัยการคดีพิเศษ เราจะมีพนักงานอัยการผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาว่าพนักงานอัยการแต่ละคนก่อนหน้านี้ได้รับภาระงานไว้แล้ว ซึ่งคดีนี้เราก็จะดูความถนัดของแต่ละคนในบางเรื่อง เเละบางข้อหา
ซึ่งหลังจากที่คณะทำงานได้มอบหมายให้พิจารณาสำนวนจากดีเอสไอเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.แล้ว ตนได้มีการเร่งรัดติดตามให้คณะทำงานได้รายงานผลพิจารณาการตรวจสำนวน อย่างใกล้ชิดทุกระยะ
ในส่วนวันที่ 12 ม.ค.2567 เวลา 10.00 น.ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำสั่งครั้งแรกก็ต้องดูว่า ในการพิจารณาตรวจสำนวนของคณะทำงานได้พิจารณาว่าพยานหลักฐานที่ดีเอสไอสอบสวนมานั้นสิ้นกระแสความแล้วหรือยัง ถ้าหากยังสิ้นกระแสความ ทางพนักงานอัยการก็จำเป็นต้องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ประกอบพยานหลักฐานจนกว่าพยานหลักฐานจะสามารถสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องได้
โดยถ้าหากจำเป็นที่จะต้องมีการสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม ทางเราก็จะเร่งรัดการสอบสวนในทุกระยะ ปัจจุบันนี้คณะทำงานอยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวน ขณะนี้ยังไม่เเล้วเสร็จเพราะว่าพยานหลักฐานในสำนวนทั้งพยานหลักฐานทางเอกสารและพยานบุคคลและผู้เสียหายมีจำนวนมาก