สถาบันวิจัยแกรนแธมของวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอนเปิดเผยรายงานใหม่ที่ระบุว่า การฟ้องร้องคดีความเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเริ่มเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา โดยมีรัฐบาลและบริษัทเอกชนถูกฟ้องใน 28 ประเทศแล้ว
รายงานฉบับนี้สำรวจการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงมากกว่า 1,300 คดีนับตั้งแต่ปี 1990 ถึงเดือนพ.ค. 2019 และพบว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลกถึง 1,023 คดี ตามมาด้วยออสเตรเลีย 94 คดี และอังกฤษ 53 คดี แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ฟ้องร้องคดีลักษณะนี้มากขึ้น เช่น โคลอมเบีย อินโดนีเซีย นอร์เวย์ ปากีสถาน และเซาท์แอฟริกา
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า มีคนพร้อมใช้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขนโยบายเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงกันมากขึ้น โจอานา เซตเซอร์ นักวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและสิ่งแวดล้อมของสถาบันวิจัยแกรนแธมกล่าวว่า การฟ้องร้องคดีไม่ได้มีแค่ในประเทศร่ำรวยและพัฒนาแล้วเท่านั้น แต่ยังมีคดีความในประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศด้วย และในความเป็นจริงอาจมีคดีความมากกว่าข้อมูลที่รายงานฉบับนี้ได้รับมา
การฟ้องร้องคดีส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางของประเทศต่างๆ แต่ก็มีอีกหลายคดีที่ผู้ถือหุ้นฟ้องร้องบริษัทเอกชนที่ให้ข้อมูลกับว่าบริษัทมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือฟ้องร้องให้มีการวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในการวางนโยบาย และทั้งบริษัทเอกชนและรัฐบาลถูกฟ้องร้องว่าไม่ปกป้องประชาชนจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือมีส่วนทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น
เซตเซอร์ยังกล่าวว่า ในอนาคต จะไม่ได้มีคดีความเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่น่าจะมีการใช้เครื่องทางกฎหมายอื่นๆ รวมถึงยุทธศาสตร์ที่แตกต่างหลากหลายมากขึ้นในการต่อสู้เรื่องนโยบาลการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ดังนั้น บริษัทต่างๆ ควรคำนึงถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
รายงานฉบับนี้ยังพบว่า คดีเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนมีการใช้สิทธิมนุษยชนและวิทยาศาสตร์เข้ามาประกอบการสู้คดีมากขึ้นด้วย เช่น เมื่อ 4 ก่อน อัชการ์ เลการี เกษตรกรในรัฐปัญจาบของปากีสถานฟ้องร้องรัฐบาลปากีสถานว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ไม่สามารถป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่กักเก็บน้ำ อาหาร และป้องกันความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งศาลตัดสินให้เขาชนะ จนรัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมาธิการด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
รายงานฉบับนี้ระบุว่า คดีความในประเทศอื่นๆนอกเหนือจากสหรัฐฯ มักจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายต่อสู้เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศถึงร้อยละ 43 ขณะที่อีกฝ่ายชนะร้อยละ 27 ส่วนที่คดีที่เหลือไม่มีผลกระทบอะไรกับนโยบายหรือกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
เซตเซอร์กล่าวว่า การฟ้องร้องคดีบังคับให้ฝ่ายตุลาการต้องตัดสินให้มีการตรวจสอบปัญหานี้ และนำวิทยาศาสตร์เข้ามาพิสูจน์กันในศาล แต่เธอยังต้องการทำวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของการฟ้องร้องคดีให้ละเอียดกว่านี้
ที่มา : CNN, The Guardian