ไม่พบผลการค้นหา
'จาตุรนต์' ชง 4 มาตรการเร่งด่วนแก้วิกฤตโควิด-19 ประเมินการระบาดถึงเดือน เม.ย. อาจมีผู้ติดเชื้อถึง 29,000 คน เรียกร้องรัฐบาลเร่งสร้างความเข้าใจระยะห่างสังคม-วางระบบกักตัวมีประสิทธิภาพ-เร่งหาผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบคัดกรอง-จัดอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า จะหลีกเลี่ยงความเสียหายใหญ่หลวงได้ ต้อง 'เปลี่ยนแปลง' โดยระบุว่า มาตรการปิดสถานที่ต่างๆ ลดการเดินทางและขอให้คนอยู่บ้านมาอาทิตย์กว่าๆ เริ่มมีคำถามว่าเราจะต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน เมื่อครบกำหนด 30 เม.ย. แล้ว การแพร่ระบาดจะลดน้อยหรือไม่

"เราจะกลับสู่สภาพปกติหรือจะต้องเจอกับมาตรการที่เข้มข้นกว่าเดิม สภาพการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ตัวเลขวันนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 136 คน เป็น 1,524 คน เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 9.7 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มด้วยอัตราประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ในแต่ละวันอย่างนี้ ด้วยการคำนวณอย่างคร่าวๆ"

นายจาตุรนต์ คาดว่า อีก 1 สัปดาห์จะมีผู้ติดเชื้อประมาณ 3,000 คน และถึงวันที่ 30 เม.ย. เราอาจมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 29,000 คน หวังว่ามาตรการที่ใช้ในหลายวันมานี้และที่จะทำเพิ่มจะมีผลให้ตัวเลขไม่สูงอย่างที่คำนวณ ในความเห็นตนคิดว่ายังมีเรายังมีทางที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายใหญ่หลวงได้ แต่จะต้องมีการวางยุทธศาสตร์กันใหม่ วางระบบวางแผนจัดการกับโควิด-19 ในด้านที่สำคัญๆ ในแบบที่แตกต่างจากปัจจุบัน หาจุดผลิกผันหรือตัวเปลี่ยนเกม (Game Changers) ให้ได้และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง

ถ้าศึกษาจากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก WHO และบทเรียนจากประเทศต่างๆ แล้วมาดูสภาพการณ์ของประเทศไทย เรื่องหนึ่งที่ประเทศที่คุมสถานการณ์ได้ดีทำตั้งแต่เนิ่นๆ คือการห้ามชาวต่างชาติโดยเฉพาะจากประเทศเสี่ยงเข้าประเทศ เรื่องนี้เราทำช้าไปมากและขณะนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นแล้ว คิดว่ามี 4 เรื่องใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้

1.รณรงค์สร้างความรู้เข้าใจให้เกิดความตระหนักและการปฏิบัติที่จริงจังในการวางระยะห่างทางสังคม (social distancing) ให้มีผู้เข้าร่วมปฏิบัติตามเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจาก กทม.ปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อไม่ให้คนมาอยู่ด้วยกันมากๆ ผลกลายเป็นคนออกต่างจังหวัดและมีการติดเชื้อมากขึ้น ภาพคนไปเข้าคิวรอติดต่อธนาคารตามมาตรการ "เราไม่ทิ้งกัน” การหิ้วตัวผู้อยู่ระหว่างการกักตัวขึ้นเครื่องไปกักขังในโรงพัก เหล่านี้สะท้อนถึงความไม่เข้าใจเรื่องการจัดระยะห่างทั้งของทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน การที่คนอยู่บ้านมากขึ้นเป็นเรื่องดี แต่ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าการจัดระยะห่างยังมีคนปฏิบัติกันไม่มากพอ

2.วางระบบการกักตัวที่มีประสิทธิภาพและมีขนาด 'มหึมา' อาศัยบุคลากรเป็นแสนๆ ทั่วประเทศ เน้นการสอบสวนโรค สืบหาผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อ จัดหาสถานที่สำหรับกักตัวผู้ที่ไม่สามารถกักตัวเองที่บ้าน มีการติดต่อเยี่ยมเยียนแนะนำผู้อยู่ระหว่างกักตัว คัดเลือกผู้ที่ควรตรวจ (Testing) และรักษาโดยเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดเข้าในระบบออนไลน์แบบเรียลไทม์"

นายจาตุรนต์ ระบุว่า ที่ผ่านมาการกักตัวเป็นจุดอ่อนมากโดยเฉพาะผู้ที่มาจากต่างประเทศเกือบจะไม่มีการกักตัวเลย เมื่อมีการแพร่ระบาดในประเทศก็จะเห็นประกาศเตือนผู้ที่เข้าไปอยู่ในจุดเสี่ยงต่างๆ แต่ไม่มีระบบติดตามรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ แต่ก็มีหลายพื้นที่เกิดสิ่งที่ดีๆ ขึ้นโดยเฉพาะในต่างจังหวัด มีกรณีพบผู้ป่วยคนหนึ่ง ก็สืบหาผู้เข้าข่ายเสี่ยงติดเชื้ออย่างจริงจังจนได้รายชื่อหลายร้อยคน แล้ววางระบบติดต่อและส่งบุคลากรไปเยี่ยมทุกวัน มีอาการผิดปกติก็รีบส่งตรวจทันที

บางจังหวัดมีการล็อกดาวน์หมู่บ้าน ใช้เจ้าหน้าที่เป็นร้อยส่งข้าวส่งน้ำดูแลจนกว่าจะยกเลิกมาตรการ ในต่างจังหวัดมีความพร้อมที่จะวางระบบอย่างนี้ ถ้าใช้คนหมู่บ้านละ 5-6 คนก็คือใช้คน 400,000 คนแล้ว ใน กทม.และชุมชนเมืองก็อาจจะยากกว่า นอกจากบุคลากรที่มีอยู่แล้วและคงต้องใช้อาสาสมัครจำนวนมากมาคอยติดต่อทางออนไลน์กับผู้ถูกกักตัว

"ในบางประเทศเวลาประกาศหาอาสาสมัครมีคนสมัครเป็นล้านคน ที่ผมใช้คำว่ามหึมาก็คืออย่างนี้ ระบบแบบนี้ใช้บุคลากรทางการแพทย์น้อยมาก แต่ลดผู้ป่วยไปสู่หมอได้มาก"

3. ตั้งเป้าหมายเพิ่มการตรวจ (Testing) ผู้ที่ควรตรวจให้ได้จำนวนมากและเร็วใกล้เคียงกับประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่นกี่แสนครั้งภายในวันที่ 30 เม.ย.นี้ เช่นเดียวกันกับเรื่องการกักตัว ประเทศที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายให้ความสำคัญอย่างมากกับการตรวจ (Testing) ซึ่งเชื่อมโยงกับ การหาผู้ต้องสงสัยและผู้ติดเชื้อเพื่อเข้าสู่ระบบการคัดกรองและรักษา

4.การจัดหาโรงพยาบาล ห้อง เตียง อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับแพทย์พยาบาลและบุคลากรทางสาธารณสุขและประชาชน จะต้องทำอย่างเป็นระบบ มีการวางระบบของประเทศ มีศูนย์อำนวยการ รู้สภาพความต้องการในปัจจุบันและประเมินล่วงหน้า โดยตั้งเป้าหมายในทางปริมาณที่ชัดเจนและสนับสนุนงบประมาณให้ทุกส่วนอย่างไม่จำกัด

ถ้าติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศก็จะเห็นการขาดอาคารสถานที่เครื่องมืออุปกรณ์ ขณะนี้หลายฝ่ายก็พยายามหาทางช่วยแก้ปัญหา แต่ไม่ควรปล่อยให้แต่ละส่วนแต่ละฝ่ายต้องดิ้นรนแก้ปัญหากันไปทั้งที่ไม่มีอำนาจสั่งการและงบประมาณ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการวางระบบ มีศูนย์กลางในการวางแผนและอำนวยการ ประเทศไทยจะต้องนำเข้าอะไร ผลิตอะไรเองได้ จะต้องสั่งให้มีการผลิตอะไรหรือเปลี่ยนจากที่ทำอยู่มาผลิตอะไร

หากมีการกำหนดยุทธศาสตร์เสียใหม่ใน 4 เรื่องดังกล่าว เรายังจะเปลี่ยนเกมได้ หลีกเลี่ยงความเสียหายใหญ่หลวงได้ การจะเปลี่ยนเกมได้มีเงื่อนไขที่จะต้องทำงานแตกต่างจากที่เป็นอยู่คือ

1. การรู้จักคาดการณ์ล่วงหน้าถึงสถานการณ์ที่เลวร้าย

2.การมียุทธศาตร์ที่ถูกต้อง รู้ว่าอะไรคือตัวเปลี่ยนเกม

3. การวางระบบและแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

4. ขนาด ปริมาณ และความครอบคลุมของมาตรการที่สอดคล้องกับขนาดของปัญหา

นายจาตุรนต์ ระบุว่า ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ ที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุดคือต้องเปลี่ยนแปลง