วันที่ 23 พ.ย. 2565 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงกรณีนำทีมขยายผล 4 กรณี เกี่ยวข้องกับธุรกิจนายทุนจีนสีเทา และใช้คนไทยเป็นนอมินี 4 แห่ง ได้แก่ จินหลิง ท็อปวัน เบบี้เฟซ และคลับวัน ว่า ในกรณีร้านจินหลิง สน.ยานนาวา ผลการตรวจค้นพบสารเสพติดในปัสสาวะของนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมาก และพบยาเสพติดอยู่ภายในร้านจำนวนมาก จากกรณีดังกล่าว ได้มีการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย คือ ‘หวง ไห่ เถา’ หรืออาหวง และพวก พร้อมยึดของกลางเป็นยาเสพติดประเภท เฮโรอีน ยาอี และแฮปปี้วอเตอร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีไว้จำหน่ายให้กับลูกค้าที่มาเที่ยวที่ร้าน และยังตรวจค้นจุดต้องสงสัยอีกกว่า 38 จุด ตรวจยึดรถหรู 5 คัน และเงินอีก 19 ล้านบาท
ในกรณีที่ 2 ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีน คือ โหยว ซื่อ หัว อายุ 31 ปี ซึ่งไปเที่ยวที่ร้านท็อปวัน เมื่อว้นที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา ต่อมาได้เสียชีวิตลงเนื่องจากเสพยาเกินขนาด ซึ่งได้มีการสืบสวนและจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซุกซ่อนอำพรางหลักฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิตดังกล่าวไปแล้วจำนวน 4 ราย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปแล้วนั้น
ขณะที่ กรณีที่ 3 ร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นสถานบันเทิงที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนจำนวน 6 แห่ง รวมทั้งร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน ซึ่งผลการตรวจสอบภายในร้านพบสารเสพติดในนักท่องเที่ยวภายในร้านจำนวน 2 ราย จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ร้านดังกล่าวมีเจ้าของเป็นบุคคลสัญชาติจีนซึ่งมีคนไทยเป็นนอมินี จึงได้ทำการขยายผลจนทราบว่า เจ้าของสัญชาติจีนดังกล่าวคือ นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด เป็นเจ้าของ จึงได้ขออนุมัติศาลเข้าค้นที่พักของนายเดวิด ที่บ้านเลขที่ 94 และ 96/1 ซอยสุขุมวิท 63 แขวงพระโขนง เขตวัฒนา กรุงเทพฯ พบสุราต่างประเทศ 24 ขวด ไวน์ต่างประเทศ 28 ลัง บุหรี่ต่างประเทศจำนวน 45 คอตตอน บุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์จำนวน 15 กล่อง และอาวุธปืนจำนวน 2 กระบอก จึงได้จับกุมนายเดวิด พร้อมของกลางดำเนินคดีในความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ
กรณีที่ 4 ร้านคลับวัน พัทยา พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา ภ.จว.ชลบุรี จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นร้านคลับวัน พัทยา เมื่อวันที่ 23 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ซึ่งพบยาเสพติดจำนวนมากภายในร้านดังกล่าว และได้มีการจับกุมผู้ดูแลร้านจำนวน 1 ราย ดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด และเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวทั้ง 4 คดีนี้ มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันทั้งหมดคือ เป็นสถานบันเทิงที่มีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้คนไทยมาเป็นนอมินีบังหน้า และยังมีเชื่อมโยงกับการกระทำผิดประเภทอื่นๆ เช่น ยาเสพติด บ่อนการพนัน หรือคอลเซ็นเตอร ในวันนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องทำความจริงที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เกี่ยวข้องให้กระจ่าง เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และมีความมีมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากการเข้าค้นและจับกุมทั้งหมดในวันนี้แล้ว จะยังคงดำเนินการขยายผลหาผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมต่อไป หากพบหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิดเชื่อมโยงถือผู้ใด ก็จะนำมาดำเนินคดีให้หมด ไม่มียกเว้นแน่นอน
ขณะที่ในเวลาต่อมา ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ได้เดินทางมามอบเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้แก่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับนอมินีของ ตู้ห่าว ซึ่งเป็นภรรยาชื่อ ‘พัชรินทร์’ มีอาชีพขายเครื่องครัวย่านพระราม 4 แต่กลับพบพิรุธมีทรัพย์สินหลายพันล้านบาท จึงขอให้ทางตำรวจตรวจสอบก่อนจะมีการโยกย้ายไปที่อื่น เนื่องจาก พัชรรินทร์ มีความสัมพันธ์อันดีกับนักการเมือง หรือผู้ใหญ่ที่ชอบสะสมนาฬิกาหรู ก่อนจะย้ำให้ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เร่งดำเนินการ เนื่องจากตนมองว่า สังคมกำลังจับจ้องอยู่ ส่วนตนนั้นถือว่าได้หมดหน้าที่ลงแล้ว
ก่อนที่เวลาประมาณ 15.30 น. ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว จะถูกควบคุมตัวขึ้นรถตำรวจ เดินทางไปที่ สน.ยานนาวา เพื่อสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม หลังเข้ามอบตัวเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ หลังถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับในข้อหา สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม ตู้ห่าว ถึงกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่ง ตู้ห่าว ให้การปฏิเสธเพียง และกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ไม่ได้ทำ ไม่จริง”
ส่วนกรณีที่ ตู้ห่าว มีความสนิทสนมกับอดีตรัฐมนตรี และเคยบริจาคเงินให้แก่พรรคพลังประชารัฐนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เบื้องต้นพรรคการเมืองไม่ทราบเจตนาที่มาของเงิน ส่วนความเชื่อมโยงระหว่าง ตู้ห่าว และอดีตรัฐมนตรีนั้น อยู่ในระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินอีกครั้ง