วันที่ 22 ก.ค.2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 11 คน เป็นวันที่สี่ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดขององค์กรตำรวจ รวมถึงเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ให้ปฏิบัติตามกฏหมาย แต่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้า เอื้อให้เกิดการทุจริต คุกคามให้คนซื่อสัตย์ต้องไปลี้ภัย และล่าสุดมีกรณีผู้บริหาร สตช. สั่งการให้นายตำรวจในสังกัดตนย้ายไปเป็นตำรวจราบ เป็นการบังคับโดยไม่บอกล่วงหน้า
กลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า โรนิน 509 เพราะมีอยู่ 509 นาย แต่วันนี้เหลือแค่ 507 นาย เพราะคนหนึ่งได้เสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุ ระหว่างการเรียกตัวด่วน อีกคนเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2565 ได้ส่งข้อความบอกคนสนิทว่า ขออโหสิกรรม เหนื่อยแล้ว พอแล้ว ก่อนจะจบชีวิตตัวเองลง พล.อ.ประยุทธ์ เคยอ้างว่า ไม่เคยมีการบังคับข้าราชการตำรวจ แต่ไม่เคยชี้แจงว่าการย้ายตำรวจราบเป็นไปตามระเบียบข้อใด และต้องเผชิญชะตาเช่นใดบ้าง ตั้งแต่ ต.ค. 2562 ที่ตำรวจทั้ง 509 นาย ถูกย้ายไปเป็นตำรวจราบแบบงงๆ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ยินว่า เขาต้องย้ายขาดจากตำแหน่งเดิม ลาจากพ่อแม่ ลูกเมีย มาอยู่ใต้หน่วยงานที่เรียกว่ากองบัญชาการทหารมหาดเล็ก ราชวัลลภรักษาพระองค์
“งานการที่ปฏิบัติไม่สมกับเป็นตำรวจเลย บางคนวันๆ มีแต่ยืนเวรอยู่ข้างรั้ว บางคนต้องยืนวันละ 20 ชั่วโมง 2-4 วันติดก็มี จะขอลาก็ยากเย็น เมียจะคลอด แม่จะตาย ยังกลับไปดูใจไม่ได้ จะขอลาออก ยื่นซองขาวเป็น 10 ซอง ได้รับอนุมัติให้ไปซ่อม ทั้งโบแดง ธำรงวินัยฝึกหนัก 1 เดือน และโบดำ ลงโทษนาน 3 เดือน ที่บริเวณใกล้ๆ พุทธมณฑล”
เมื่อปี 2563 กองบินตำรวจ (บ.ตร.) ได้รับงบประมาณสำหรับซ่อมบำรุงอากาศยาน 9.49 ร้อยล้านบาท และทำสัญญากับการบินไทย แต่ในปีต่อมา การบินไทย ยื่นหนังสือทวงหนี้มาที่ สตช. ระบุว่าก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินงบประมาณไว้กว่า 1.8 พันล้านบาท โดยที่ 2 ใน 3 ของหนี้ทั้งหมด เบิกจากคลังมาจ่ายไม่ได้ และในงบ 950 ล้านนั้น มีงบเบิกค่าอะไหล่สูงเกินไปมาก หลายอย่างเป็นอุปกรณ์ที่แทบไม่เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงเครื่องบิน แถมราคาแพงเกินจริง จนน่าสงสัยว่าอาจจะมีเงินทอนหรือไม่ การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบก็ยังเปลี่ยนตัวกันวุ่นวาย และล่าช้า โดย พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย รอง ผบ.ตร. ทำการเปลี่ยนตัวกรรมการฯ
พล.อ.ประยุทธ์ ทราบนานแล้วว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น ถ้าท่านมีสามัญสำนึกอยู่บ้างว่าความเสียหายครั้งนี้ รัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่หลังจากการบินไทยแจ้งหนี้มาแล้ว เมื่อ 7 ธ.ค. 2564 กรมบังคับคดีส่งหนังสือมาทวงหนี้ ซึ่ง สตช. มีโอกาสปฏิเสธหนี้ภายใน 14 วัน แต่กลับตอบหนังสือช้าไป 3 วัน ส่งผลให้ สตช. ตกเป็นลูกหนี้เด็ดขาด เรียกได้ว่า “บ้งอย่างเป็นระบบ” หย่อนยานผู้บังคับบัญชา ไม่ยอมปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ และ ครม. ต้องอนุมัติเอางบกลาง หรือเงินภาษี มาจ่ายชดเชยความผิดพลาดนี้
“ควรต้องใช้เงินก้อนนี้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชน ทำไมเงินที่เราคิดว่าจะเอาไปใช้เวลาเกิดภัยพิบัติ ถึงได้กลายเป็นเงินที่เผื่อว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ค่าโง่ แต่เป็นค่าแกล้งโง่ของคน 2 ฝ่าย ที่ร่วมกันปล้นคนไทย ฝ่ายหนึ่งใช้เงินมือเติบ ทั้งที่ไม่มีอำนาจซื้อ ฝ่ายรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ควรเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ปกป้องเงินก้อนนี้ไว้ กลับยินยอมพร้อมใจเปิดตู้เซฟหยิบเงินประชาชนทั้งก้อนไปจ่ายเอง”
ทั้งนี้ ยังมีการสั่งซื้ออะไหล่เกินราคา ตามกฎหมาย ตำแหน่งของ พล.ต.ต.'ก.' ไม่สามารถทำสัญญาแลกเปลี่ยนพัสดุที่มูลค่าการได้มาเกิน 5 ล้านบาทได้ แต่อะไหล่ที่แลกมา 6,622 ชิ้นนั้น มูลค่าตอนซื้อมาสูงถึง 1.6 พันล้านบาท และมีการเพิ่มอะไหล่ของเครื่อง Bell 206 B และ Skyvan เข้าไปปนกับอะไหล่เก่าด้วย แม้อะไหล่เหล่านั้นยังคงใช้งานได้ตามปกติ มูลค่ารวมกันมากถึง 111 ล้านบาท แต่เมื่อกลายเป็นอะไหล่ กลับเหลือมูลค่าเพียง 2.5 ล้านบาท สามารถนำไปหากินทำกำไรต่อได้อย่างสบาย เมื่อมีกรรมการตรวจสอบก็ถูกเตะถ่วงอีกครั้ง โดย พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย รอง ผบ.ตร. คนเดิม
คำถามคือ พล.ต.ต. 'ก.' เหตุใดจึงถูกเตะถ่วงการตรวจสอบหลายครั้ง รัฐบาลไม่มีความพยายามทำอะไรสักอย่างกับผู้ต้องสงสัยคนนี้ ไม่มีแม้แต่การพักงาน ก่อนจะพบว่า พล.ต.ต.'ก.' เป็น ผอ.หน่วย ศูนย์ปฏิบัติการถวายความปลอดภัยสำหรับขบวนเฮลิคอปเตอร์ราชพาหนะ (ศปท.ถปภ.ขบวน ฮ.เดโชชัย 5) ซี่งเกิดขึ้นมาหลัง พล.ต.ต. 'ก.' ย้ายออกจากกองบินตำรวจแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น
รังสิมันต์ เปิดเผย เอกสารจัดตั้ง ศปท.ถปภ.ขบวน ฮ.เดโชชัย 5 มีอำนาจสั่งการทุกหน่วยให้จัดเฮลิคอปเตอร์พระราชดำเนินของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งปกติกองบินตำรวจสามารถทำหน้าที่นี้ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องตั้งหน่วยงานใหม่ แต่กลับมีการจัดตั้งหน่วยดังกล่าวอย่างรวดเร็วหลัง พล.ต.ต. 'ก.' ย้ายจากตำแหน่ง เหมือนกับว่าจัดตั้งมาเพื่อรองรับ พล.ต.ต. 'ก.' โดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีโครงข่ายอำนาจที่ผิดปกติ หรือเป็นศูนย์เถื่อนเพื่อสะสางประวัติเก่าๆ ของ พล.ต.ต. “ก.” หรือไม่
มีหนังสือสำนักรอยัลพาเลซ ที่ พล.ต.ต.'ก.' ทำหนังสือในนามกองบินตำรวจ ว่าเดิมตนเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ และผู้อำนวยการเดินทางถวาย แต่กำลังจะถูกย้ายหน่วย ถ้ามีพระประสงค์จะให้ปฏิบัติงานถวายต่อ จะให้ดำเนินการต่อไป และมีหนังสือตอบกลับว่า ได้นำความกราบบังคมทูลฯ แล้ว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป รังสิมันต์ ตั้งคำถามว่า นี่คือตั๋วช้างอีกแบบใช่หรือไม่ ไปขอให้สถาบันฯ มาเกี่ยวข้องเอื้อประโยชน์ตนเอง ห้ามคนอื่นมาตรวจสอบประวัติที่มัวหมองของตน พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำสิ่งต้องห้าม และขัดต่อระเบียบเช่นนี้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต. 'ก.' ยังขาดคุณสมบัติการเป็นนักบินไปแล้ว เนื่องจากยังไม่ได้รับการตรวจสุขภาพตามมาตรฐานที่กำหนด แต่เฉพาะในปี 2565 มีบันทึกการบินว่า พล.ต.ต.'ก.' หรือชื่อเต็ม พล.ต.ต.กำพล กุศลสถาพร ขับเครื่องบินไปแล้วกว่า 40 ครั้ง แล้วเหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลองค์การตำรวจ กลับปล่อยให้คนที่ขาดคุณสมบัติเข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ต้องเคร่งครัดที่สุดเช่นนี้ได้
“การถวายความจงรักภักดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ มักอวดอ้างเป็นนักหนา คือการถวายนักบินเถื่อนที่ไม่ตรวจสุขภาพ ไม่รู้ว่ามีความพร้อมทางร่างกายและจิตใจที่จะทำการบินหรือไม่ ให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์”
“ตลอด 1 ปี 5 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ รู้ทั้งรู้เกี่ยวกับเรื่องตั๋วช้าง แต่ยังปล่อยให้มีคนทำตั๋วช้าง ภาค 2 ขึ้นมาได้ ทั้งการออกแผนตั้งหน่วยเถื่อนที่มีระดับผู้ช่วย ผบ.ตร. อนุมัติให้ ยังคงใช้อำนาจได้จนถึงปัจจุบัน เรื่องใหญ่โตโจ่งแจ้งขนาดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังทำไขสือ ไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้คนที่มากด้วยข้อครหามาอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ซึ่งกระทบกระเทือนพระเกียรติยศศักดิ์ศรี และความปลอดภัยของสถาบันพระมหากษัตริย์ มาได้ตั้งนานขนาดนี้”
“สรุปแล้วที่ชอบอ้างความจงรักภักดี โหนสถาบันอยู่เป็นกิจวัตร เป็นคำโกหกปลิ้นปล้อน ลวงโลกทั้งนั้น ใช่หรือไม่” รังสิมันต์ กล่าว