เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 ก.ค. 2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และคณะ จำนวน 186 คน เป็นผู้เสนอ โดยมี สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุม
โดย นพ.ชลน่าน ได้อภิปรายเหตุผลของญัตติที่จะอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ จำนวน 11 ราย ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตลอด 8 ปี ที่ผ่านมา บริหารประเทศผิดพลาดล้มเหลว ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศ ไม่สามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนได้เลย ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นต้นตอที่ทำให้ปัญหาที่มีอยู่มีความซับซ้อน ขยายวงกว้างและรุนแรงยิ่งขึ้น
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ขาดภาวะความเป็นผู้นำที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้นำที่พิการทางความคิด ยึดติดแต่อำนาจ ไม่เคารพหลักนิติรัฐนิติธรรม ไร้คุณธรรมจริยธรรม ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ทั้งด้านการเมืองเศรษฐกิจและสังคม มีพฤติกรรมปล่อยปละละเลยให้บุคคลแวดล้อมและพวกพ้องของตนแสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย” นพ.ชลน่าน แถลง
จากนั้น นพ.ชลน่าน ได้ระบุรายชื่อรัฐมนตรีอีก 10 คนในญัตติ พร้อมข้อกล่าวหา ประกอบด้วย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หลังจบการแถลงญัตติ นพ.ชลน่าน ได้อภิปรายต่อไปเพื่อชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะลงลึกเป็นลำดับถัดไป โดยระบุว่าความทุกข์ยากของประชาชนเกิดขึ้นเพียงเพราะการพยายามรักษาอำนาจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ล้มคู่แข่งทางการเมือง ปิดกั้นโอกาสของประเทศ ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มีการปรับภาพลักษณ์ แสดงวิสัยทัศน์ 3 แกน เพื่อพัฒนาประเทศ เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญทางลบดังขึ้นหลังจากนั้นมากมาย เพราะประชาชนมองเห็นถึงวัตถุประสงค์แท้จริงคือต้องการอยู่อีก 2 ปี เปรียบเสมือนการประจานตัวเอง
“ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ มีภาวะผู้นำที่แท้จริง จะออกมาประกาศยอมรับว่าความผิดพลาดบกพร่องล้มเหลวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะตัวท่านคนเดียว และท่านต้องประกาศให้โลกนี้รู้ว่า ท่านเองไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหน้าได้ แต่น่าเสียดาย พล.ประยุทธ์ ไม่ได้ทำสิ่งนี้ ถ้าท่านสำนึกรู้ดีรู้ชั่ว เห็นแก่ชาติบ้านเมือง ประกาศยอมรับตรงๆ ผมเชื่อว่าการทำงานของสภาจะกลับสู่ภาวะปกติ ทุกคนจะมีความหวัง แต่มันไม่เกิดขึ้นหรอก เพราะ 8 ปี ที่ผ่านมา บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีจิตสำนึก ไม่มีความรับผิดชอบ มุ่งแสวงหาอำนาจให้ตนเอง คิดว่าตนเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว”
“ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ได้ให้พรรคร่วมรัฐบาลมาเป็นนั่งร้านสนับสนุนให้ท่านอยู่ในอำนาจต่อไป นั่งร้านขณะนี้เปรียบเหมือนเห็บเหาปรสิต ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ สูบเลือดประเทศและพี่น้องประชาชนเพื่อความอิ่มเอมของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องถูกกำจัดออกไป แต่ถ้านั่งร้านเหล่านี้เกิดจิตสำนึกที่ดี หันมาทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนชาวไทย ห้นมาลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงเวลาจริงๆ แล้วที่ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่เด็ดหัวสอยนั่งร้าน ไม่ไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป”
นพ.ชลน่าน ยืนยันว่า การตัดวงจรเห็บเหาเหล่าปรสิต จะต้องนำหลักฐานของการทุจริตมาเปิดโปง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป ประชาชนเองให้ความสนใจกับการอภิปรายฯ ครั้งนี้อย่างมาก ส่วนใหญ่ให้กำลังใจฝ่ายค้านกระชากหน้ากากรัฐบาลออกมาให้ได้ ต้องขอขอบคุณกลุ่มราษฎร ที่เปิดลงมติจากประชาชน เพื่อสะท้อนเสียง สร้างจิตสำนึกให้แก่เพื่อน ส.ส. มาร่วมลงมติสนับสนุนพรรคร่วมฝ่ายค้าน
นพ.ชลน่าน ยังแสดงให้เห็นความเป็นผู้นำแห่งความพินาศ ล้มเหลว ของ พล.อ.ประยุทธ์ หากท่านนายกฯ เป็นสินค้ายี่ห้อหนึ่ง หลังฟังอภิปรายแล้วตนเชื่อว่าประชาชน 99% จะไม่ใช้สินค้านี้อีกต่อไป เพราะเป็นผู้นำที่ไม่ชอบธรรมตั้งแต่วิธีเข้าสู่อำนาจ เพราะยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน และวางกลไกสืบทอด โดยลวงโลกสมอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง สวมหน้ากากประชาธิปไตย อีกทั้งการใช้อำนาจยังขาดความชอบธรรม บังคับเนติบริกรออกแบบรัฐธรรมนูญ บริหารประเทศด้วยมาตรา 44 อันเป็นลักษณะของเผด็จการ จนถึงวันที่ 16 ก.ค. 2562 คือวันถวายสัตย์ปฏิญาณ จากนั้นจึงมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่ 26 มี.ค.2563 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เท่ากับตลอด 8 ปี ที่ผ่านมา ไม่เคยบริหารประเทศโดยการใช้กฏหมายปกติเลย แต่กลับใช้กฏหมายพิเศษที่เอื้อต่อเผด็จการ
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ ชัดเจนสุดคือบังอาจตั้งตนเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ โดยไม่สนความสามารถของตน คุยโวโอ้อวดใช้ปากบริหารประเทศ เพิกเฉยต่อหลักนิติรัฐนิติธรรม และยังใช้คนไม่ถูกกับงาน คนรอบข้างนายกฯ เปรียบเป็นเพียงหุ่นตุ๊กตา ใช้หน่วยงานความมั่นคงมาทำหน้าที่จัดการปัญหาโควิด-19 ต่างๆ จึงออกมาขาดประสิทธิภาพ ประชาชนอับอายขายหน้ากับภาพลักษณ์ของผู้นำประเทศ เพราการแสดงออกอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ แต่เมื่อออกต่างประเทศกลับมีท่าทีจ๋องๆ เจี๋ยมเจี้ยม เหมือนคนละคน ยังไม่รวมถึงการปล่อยปละละเลยการรักษาอธิปไตยของประเทศ จากเหตุการณ์ที่เครื่องบินรบเมียนมาลุกล้ำเข้าสู่น่านฟ้าไทยเพื่อปฏิบัติการทางทหาร แต่กลับไม่มีการขอโทษอย่างเป็นทางการ ตรงกันข้าม นายกฯ กลับบอกเพียงว่าเป็นการตีวงเลี้ยวกว้างเกินไป ส่งผลเสียต่อเกียรติศักดิ์ของประเทศ
“ผมมุ่งเน้นบุคลิกลักษณะของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะอันตรายต่อการบริหารบ้านเมือง ผมกล่าวหาท่านว่า ท่านเป็นโรคหลงตัวเอง อาการนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เป็น personality disorder บุคลิกภาพแปรปรวน เขาเรียกว่า narcissistic disorder บ้าอำนาจ หลงอำนาจ ไม่ต้องฟังใคร พังทลายอย่างเดียว และยังแสดงอาการโอหังคลั่งอำนาจ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่ได้ไปรักษาตนเอง ปล่อยให้มีอาการกำเริบขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ปีที่ 8 เลยสร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง”
“จากประเทศที่มีโอกาสเป็นอันดับ 1-2 ในภูมิภาค ขณะนี้ไม่เพียงอยู่รั้งท้าย ยังเป็นประเทศที่ป่วยด้วย ประชาชนทางบ้านฝากผมมาพูดในสภา เปรียบรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาล 608 ที่ภาคการสาธารณสุขใช้ชี้วัดประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องดูแล รัฐบาลชุดนี้ ทั้งแก่ ไร้ความรู้ความสามารถ ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ซ้ำอมโรคป่วย แล้วเราจะปล่อยให้รัฐบาล 608 ดูแลประเทศชาติบ้านเมืองต่อไปหรือ”
นอกจากความพินาศทางเศรษฐกิจที่ฝ่ายค้านจะลงรายละเอียดไม่ต่ำกว่า 10 ชม. ในเวลาอภิปรายทั้งหมด รัฐบาลชุดนี้ยังทำให้สังคมเกิดความแตกแยก แบ่งฝักฝ่าย ที่สำคัญผู้นำกลับตั้งตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนเสียงเอง ถือเป็นยุคมืดที่คุกคามสิทธิเสรีภาพกับประชาชน เยาวชน นิสิต นักศึกษา ถูกปิดปาก บังคับใช้กฏหมายอย่างล้นเกิน จนบางครั้งก่อให้เกิดความเสียหาย
“ปากท่านบอกว่าเทิดทูนเคารพสถาบันฯ ที่เคารพยิ่ง การกระทำนี้ของท่าน เป็นการดึงสถาบันฯ ที่รักของเรามาเป็นคู่ขัดแย้งด้วย เพียงเพื่อจะปกป้องคุ้มครองตัวเอง กลับต้องไปแอบอิงสถาบันฯ ที่รักยิ่งของเรา เรารับไม่ได้ มากล่าวอ้างว่าคนที่เห็นต่างเป็นผู้ไม่จงรักภักดี แท้จริงแล้วตัวท่านเองนั่นแหละที่แอบอิง ใช้ประโยชน์ อยู่ในอำนาจ”
“นโยบายกัญชาเสรีของท่าน เพียงเพื่ออยู่ในอำนาจ ท่านถูกจับเรียกค่าไถ่ ถูกต่อรองว่าต้องผ่านนโยบายกัญชาเสรี เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่กลับถูกบีบคออยู่ตลอดเวลา ท่านก็ยอม ท่านยอมได้อย่างไร เป็นสังคมอุดมไปด้วยยาเสพติด แล้วบ้านเมืองจะพัฒนาไปต่ออย่างไร”
นอกจากนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยังทำลายระบบการเมือง แต่งตั้ง 250 ส.ว. บิดเบือนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ซ้ำยังทำลายระบบรัฐสภา เป็นปฏิปักษ์กับระบบประชาธิปไตย บิดเบือนกลไก ใช้ ‘กล้วย’ ยื้ออำนาจ โดยเฉพาะกรณีก้าวก่ายแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติ สั่งการ สูตรคำนวณ หาร 500 ซึ่งเน้นย้ำเรื่องนี้จะถูกส่งถึงศาลแน่นอน เนื่องจากเป็นการก้าวล่วงอำนาจ ครอบงำชี้นำพรรคการเมืองที่สมยอม ทำลายหลักการพื้นฐานการปกครอง เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญที่ร้ายแรง เปรียบเหมือนเขียนรัฐธรรมนูญเป็นวัว แต่บางคนแอบไปผสมพันธุ์ จนลูกออกมาเป็นควาย การขัดต่อรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร
“ต้องการทำลายคู่แข่งเพียงคนเดียว ท่านก็เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำลายพรรคการเมือง เพราะท่านคิดว่าเป็นพรรคของคนคนนั้น จับหนูตัวเดียว เผาบ้านตัวเอง พังพินาศหมด ท่านสั่งการให้มีการหาร 500 ตามคำเรียกร้อง เหตุผลสำคัญคือเป็นไปตามคำร้องขอของ ส.ส. ในสภานี้มีอำนาจมาก บีบคอท่าน ท่านยอม แม้จะขัดใจกับพี่ใหญ่ของท่าน”
ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจมา ไม่เคยพูดคำว่า ‘ทั้งจะรักษาไว้ และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ’ ในการถวายสัตย์เลย เนื่องจากจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ การอภิปรายฯ ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน หวังว่าจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้ต่างจากอดีต ที่ระบบเสียงข้างมากรอสัญญาณจากผู้นำครอบงำทุกอย่าง ขอร้องไปยังเพื่อนสมาชิกฯ ที่มาจากความต้องการของพี่น้องประชาชน ต้องเคารพเสียงของประชาชน
“ผมหวังว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า พวกเราจะได้มาเจอกันในที่แห่งนี้ แต่ผมก็หวังว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั่นควรจะไปจากสภาแห่งนี้ เพราะท่านไม่เคยให้เกียรติสภาแห่งนี้เลย ไปได้แล้วครับท่าน ท่านอย่าอยู่เพื่อเป็น 608 ทำลายประเทศไทยอีกต่อไปเลย” นพ.ชลน่าน กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง