12 มี.ค. - ที่กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวอิสราเอลหลายแสนคนเข้าร่วมในการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ เพื่อต่อต้านแผนการของรัฐบาลในการยกเครื่องระบบตุลาการครั้งใหญ่ ติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 สัปดาห์แล้ว โดยจำนวนผู้ชุมนุมตามเมืองต่างๆ เช่น ไฮฟา มีมากเป็นประวัติการณ์ และคาดว่า ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทลอาวีฟเอง มีผู้ชุมนุมราว 200,000 คน
ในรายละเอียด การปฏิรูปครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจชี้ขาดต่อการเลือกผู้พิพากษา และจำกัดความสามารถของศาลสูงสุดในการวินิจฉัยชี้ขาดผู้บริหารหรือตีตกกข้อฎหมาย ประเด็นดังกล่าวก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวลึกในสังคมอิสราเอล โดยเฉพาะกับกลุ่มทหารกองหนุน กระดูกสันหลังของกองทัพอิสราเอล ที่ออกมาขู่ว่าจะปฏิเสธที่จะทำหน้าที่รับใช้ชาติ เพื่อเป็นการกระทำการอารยะขัดขืนต่อรัฐบาล
แผนปฏิรูปดังกล่าวของรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า จะเป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตย ทำให้ศาลไม่สามารถดำรงความเป็นกลางทางการเมือง และสามารถนำไปสู่การเป็นรัฐบาลอำนาจนิยมได้ แต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เบจามิน เนทันยาฮู ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจะเป็นผลดีสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
แกนนำผู้จัดการชุมนุม กล่าวว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (11 มี.ค.) ประเมินได้ว่ามีผู้ออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยมากถึง 500,000 คน ทั่วประเทศ ซึ่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของอิสราเอล เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "การเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ"
ขณะที่ หนึ่งในผู้ชุมนุม ที่กรุงเทลอาวีฟ ได้ให้ความเห็นด้วยว่า มันไม่ใช่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่เป็นการปฏิวัติที่จะทำให้อิสราเอลกลายเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ
ด้าน ยาอีร์ ลาปิด ผู้นำฝ่ายค้าน ได้ออกมาแสดงท่าทีต่อประเด็นดังกล่าวเช่นกัน โดยได้กล่าวระหว่างการปราศรัยต่อมวลชน ที่เมืองเบียร์ชีวา ทางตอนใต้ของอิสราเอลว่า ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ กระแสการก่อการร้ายกำลังโจมตีเรา เศรษฐกิจของเรากำลังพังทลาย เงินกำลังหนีหายออกจากประเทศ อิหร่านเพิ่งลงนามในข้อตกลงฉบับใหม่กับซาอุดีอาระเบียเมื่อวานนี้ แต่สิ่งเดียวที่รัฐบาลนี้สนใจคือการทำลายประชาธิปไตยของอิสราเอล
อย่างไรก็ดี เนทันยาฮู ระบุว่า แผนปฏิรูปดังกล่าวได้รับการออกแบบเพื่อรักษาสมดุล ไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายบริหาร โดยย้ำว่า ชาวอิสราเอล “เลือกแล้ว” ผ่านการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว พร้อมยืนยันว่า แผนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีที่เขาถูกกล่าวหาว่าเข้าไปพัวพันกับคดีคอร์รัปชันแต่อย่างใด.