13 ก.พ. 2566 อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ พร้อมแกนนำพรรค รวมถึง กรณิศ งาทสุคนธ์รัตนา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตคลองเตย-วัฒนา ลงพื้นที่พบประชาชน ชุมชนหมู่บ้านพัฒนา 70 ไร่ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย
ทั้งนี้ก่อนการปราศรัย อนุทิน ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความพร้อมในการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ วันที่ 15-16 ก.พ. นี้ ว่า รัฐมนตรีของพรรคต้องพร้อม และครั้งนี้ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เป็นการให้คำแนะนำ แต่ไม่ว่าจะมารูปแบบไหนถ้าอภิปรายสร้างสรรค์ ไม่กล่าวร้ายป้ายสี รัฐมนตรีก็มีความพร้อมชี้แจงเต็มที่
“ส่วนแนวคิดการทำให้องค์ประชุมล่ม ขออย่าคิดเกินไป แต่ผู้ที่เป็นรัฐมนตรีก็ต้องไปรับฟัง หรือถ้าติดราชการไม่ได้ไปฟังก็ต้องมีคนคอยมอนิเตอร์ แต่ในส่วนของ ส.ส.พรรค ถือเป็นเอกสิทธิ์ของ เพราะไม่มีการโหวตลงมติ อีกทั้งเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน ที่จะเสนอแนะข้อคิดเห็น ส่วนใครจะใช้สิทธิ์อภิปรายก็ไม่ได้กังวล” อนุทิน กล่าว
สำกรับกรณี วันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ออกมาระบุว่า การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นอำนาจหน้าที่ของ ส.ว.250 คนนั้น ก็ถือเป็นอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีอำนาจไหนใหญ่กว่าอำนาจของประชาชน แต่ขออย่าคาดการณ์เกินไป ผลสรุปก็คืออยู่ในช่วงหลังเลือกตั้ง
ทั้งนี้บนเวที่หาเสียงอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยต้องการใช้ความรู้ ความสามารถในการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ มาพัฒนา มาแก้ปัญหาให้คนกรุงเทพ ซึ่งคนกรุงเทพเอง ก็มีปัญหาให้ต้องแก้ในหลายส่วน ทั้งเรื่องของที่ดินทำกิน ทั้งเรื่องของระบบรักษาพยาบาล อย่างปัญหาข้อพิพาท เรื่องที่ดินการรถไฟ ขอสัญญาว่าจะเข้าไปทำให้มันถูกต้อง เช่นการมีสัญญาเช่าระยะยาว เป็นต้น ส่วนเรื่องของระบบการรักษาพยาบาล ใน กทม. มีความเป็นอิสระในการจัดการตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริง ควรมีช่องทางให้กระทรวงสาธารณสุข เข้าไปช่วยเหลืออย่างคล่องตัว ต้องบูรณาการงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามองเรื่องเขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร การสร้างโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ให้สอดรับกับความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ เราต้องการมีตัวแทนในพื้นที่ เพื่อให้การขับเคลื่อน มีความสะดวกรวดเร็วที่สุด
ตนมาอยู่ตรงนี้ สิ่งที่เห็นคือ คนต่างจังหวัด มีคุณภาพชีวิตดีกว่าคนในเมือง มันถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องเปลี่ยนแปลง ต้องเอาพรรคบ้านนอกอย่างพรรคภูมิใจไทย เข้ามาทำงาน นี่คือการเปลี่ยนแปลง เราคือโอกาสใหม่ๆ ของชาว กทม. และเมื่อเราเข้ามาแล้ว ขอสัญญาว่าเรามีความกล้าที่จะทำแน่นอน
“ในทุกพื้นที่ เราเลือกคนที่ดีที่สุด เหมาะที่สุด รู้จักพื้นที่ของท่านดีที่สุด อย่างชุมชนตรงนี้ นางกรณิศ นับว่าทำงานให้ท่านมานาน รู้จักปัญหา และรู้วิธีแก้ปัญหา เป็นผู้แทนราษฎร ด้วยความวางใจของประชาชน ถ้าเลือกเข้ามา ก็ได้สานต่องานเลย พัฒนาพื้นที่กันไม่หยุดนิ่ง ที่สำคัญ ยังเป็นการเติมคะแนนให้หัวหน้าพรรคอย่างผม เพื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมมีความพร้อมแน่นอน และผมขอโอกาสจากพี่น้องประชาชน”
นอกจากนั้น อนุทิน ยังกล่าวถึงนโยบายของพรรค พร้อมย้ำว่า สิ่งที่นำมาเสนอ ขอให้คำมั่นว่าพูดแล้วทำแน่นอน เพราะเรามาด้วยความไว้วางใจของท่าน เราจะไม่ทำให้ความไว้วางใจนั้นสูญเปล่า ยิ่งกว่าจะมาได้ ต้องทำงานหนัก ต้องลงพื้นที่ ต้องหาเสียง พี่น้องก็ต้องมานั่งฟังพรรคภูมิใจไทนปราศรัย หลายคนเดินทางมาไกล ถ้าได้ตำแหน่งไปแล้ว ไม่ทำงาน ก็เหมือนดูถูกตัวเอง ก็เหมือนดูถูกประชาชน ตนเป็นนักการเมืองในระบบเลือกตั้ง และประชาชน มีความสำคัญสูงสุด เพราะนี่คือผู้ที่ตัดสินว่า ผมควรมี หรือไม่มีโอกาสทำงาน รับใช้ประชาชน
“ผมต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน ถ้าประชาชนสุขภาพดี มีความมั่นคง มีความมั่งคั่ง ประเทศไทยย่อมเจริญรุ่งเรือง อย่าลืมว่า ประชาชนคือฐานรากของประเทศนี้ ถ้าฐานแข็งแรง ประเทศ ก็ย่อมแข็งแรง”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ประกอบไปด้วย ตั๋ว One Day Pass การกำหนดค่าโดยสารสาธารณะ รถ เรือ เริ่มต้น 15 บาท ตลอดวัน ไม่เกิน 50 บาท ส่วนรถไฟฟ้า เริ่ม 15 บาท ตลอดสายไม่เกิน 40 บาท, นโยบายพักหนี้ 3 ปีหยุด ต้นปลอดดอกเบี้ยคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท
การตั้งศูนย์ฟอกไตฟรี โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ฟอกไต 1 เขต 1 ศูนย์ ให้บริการประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและญาติ, ศูนย์ฉายรังสีมะเร็งฟรี เป็นการจัดตั้งศูนย์ ฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งฟรี 1 จังหวัด 1 ศูนย์ ให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น
หลังคาโซล่าเซลล์ ฟรี เป็นการติดตั้งหลังคาโซล่าเซลล์ทุกหลังคาเรือน ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าไฟฟ้าเฉลี่ยหลังคาเรือนละ 450 บาทต่อเดือน, มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าผ่อนเดือนละ 100 บาท 60 งวด สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และการเพิ่มค่าตอบแทน อสส.กรุงเทพฯ สนับสนุนคนอาสา เดือนละ 2,000 บาท เจ็บป่วยมีประกันดูแล การหารายได้เพิ่มได้ 3 กะ เปิดพื้นที่ใหม่ๆ ส่งเสริมการท่องเที่ยว