สองสาวที่ถือว่าเป็นม้ามืดในการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 มีทั้งความสวย และประวัติที่น่าสนใจ แม้เธอทั้งคู่ต่างก็เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในเวทีนี้ แต่พวกเธอเปิดใจกับ 'วอยซ์ ออนไลน์' ถึงมุมมองทางสังคมที่เหมือนกัน นั่นคือ การสร้างความเท่าเทียมด้วยการศึกษา
'เอิงเอย - วรรณพร มรรคดวงแก้ว' ผู้เข้าประกวดหมายเลข 15 อายุ 27 ปี อาชีพทันตแพทย์ และอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล่าให้ฟังว่า เธอพักงานมาเพื่อทำตามในสิ่งที่ตัวเองชอบ เป็นคนชอบการประกวดนางงาม และอยากท้าทายตนเอง เช่น การเข้ามาประกวด เธอต้องปรับตัวกับความคาดหวังของตัวเองที่อยากให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด หรือเรื่องอาหารการกินจากคนที่เกลียดการกินผัก ชอบกินเนื้อ ก็ต้องลดเนื้อ ลดน้ำอัดลม หันมากินผัก กินวิตามินบำรุง และสิ่งสำคัญคือการปรับตัวให้รับมือกับกระแสออนไลน์ ที่ทั้งชื่นชม คอมเมนต์วิจารณ์ หรือแม้กระทั่งทักแชทมาด่า ซึ่งเธอได้เรียนรู้ว่าการเป็นตัวของตัวเอง สบายที่สุด และความเชื่อมั่นในความสวยของตัวเองจะทำให้เรากล้าทำอะไรหลายอย่าง เพราะถ้าคิดว่าเราไม่สวยก็จะทำอะไรในโลกนี้ไม่ได้เลย
นอกจากนี้ เธอยังเป็นทันตแพทย์ที่ออกโครงการหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ ไปพบชาวบ้านในหลากหลายพื้นที่ เธอมองว่าสิ่งสำคัญที่ควรผลักดันในสังคมไทย คือ ความเท่าเทียมกัน คนเรามักถูกปลูกฝังความรู้สึกนี้ในสังคม ทั้งความรวยความจน หรือเรื่องการแสดงออกทางเพศ ซึ่งทางออกสำคัญคือการพัฒนาการศึกษา เมื่อคนเรามีการศึกษาที่ดี สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคได้อย่างเท่าเทียมกัน ก็จะทำให้คนสังคมมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น
'นิ้ง - โศภิดา กาญจนรินทร์' ผู้เข้าประกวดหมายเลข 20 อายุ 23 ปี อาชีพผู้จัดการวานิชธนกิจ ธนาคารทหารไทย เผยว่า แรงบันดาลใจให้เธอลางาน 90 วัน มาเพื่อประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 มาจากความฝันที่อยากเป็นนางงาม อยากเป็นสาวสวยใส่มงกุฎ และยืนโบกมือบนเวทีให้กับทุกคน เพราะปมด้อยในวัยเด็กที่เป็นเด็กผู้หญิงอ้วนดำ และผมสั้นหน้าม้า ทำให้ถูกเพื่อนล้อว่าดำตับเป็ด หนูหิ่น ฯลฯ จนเสียใจร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง
สมัยก่อนเธอเป็นเด็กอ้วนที่รักการกิน และไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งพ่อเป็นหมอก็คาดหวังให้เธอเรียนหมอ แต่เธอก็ทำให้พ่อแม่เสียใจผิดหวังเรื่องการเรียนอยู่หลายครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือเธอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนแต่สอบสัมภาษณ์ที่โรงเรียนที่สหรัฐอเมริกาไม่ผ่าน ไม่ได้เข้าเรียนทั้งที่สะพายกระเป๋าเข้าห้่องเรียนไปเจอหน้าเพื่อนแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ที่เลวร้ายครั้งนั้นเอง ทำให้เธอปรับพฤติกรรมมาเป็นคนขยันเรียน และพยายามสอบเข้าเรียนในสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง จนในที่สุดเธอจบการศึกษาปริญญาตรีด้านการเงิน ที่มหาวิทยาลัยเนวาดา ด้วยคะแนนเกียรตินิยม และเป็นที่ 1 ของชั้นเรียน
เธอกลับมาทำงานที่ประเทศไทยด้วยตำแหน่งผู้จัดการวานิชธนกิจ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งงานที่สูงมากสำหรับเด็กจบใหม่ อีกทั้งเพื่อนๆ ต่างชมว่าเธอสวยขึ้นจนจำไม่ได้ ซึ่งเธอมองว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนดูดีขึ้นได้ แต่ขณะเดียวกันผู้หญิงก็ต้องห้ามหยุดสวย หยุดพัฒนาดูแลตัวเอง
"education is the key to success นิ้งเชื่อว่าการศึกษาคือรากฐาน ถ้าเรามีความรู้ความสามารถ เราสามารถดึงจุดที่เราถนัดมาประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้"
ปัจจุบัน เธอเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องๆ และทำงานเลี้ยงดูน้องชายคนกลางอายุ 22 ปี พิการทางสมอง ดังนั้น หากเธอได้รับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 เธอต้องการจะผลักดันเรื่องการศึกษา และผู้พิการ เพื่อให้เยาวชนใช้ความรู้ในการช่วยเหลือตัวเอง สร้างอาชีพ และหารายได้ อีกทั้งยังต้องการจะผลักดันการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการในการใช้พื้นที่สาธารณะ และทำงานได้อย่างคนทั่วไป
การประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 รอบพรีลิมมินารีจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายนนี้ และรอบสุดท้ายวันเสาร์ที่ 30 มิถุนายนนี้ ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ซึ่งผู้ชนะการประกวดจะได้เป็นตัวแทนสาวไทยไปประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018 ในช่วงปลายปีนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: