วันที่ 20 เม.ย. ที่พรรคเพื่อไทย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย และประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ชี้แจงถึงกรณีหลายพรรคการเมืองได้วิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย
นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า รู้สึกว่าหลายพรรคการเมืองเก่งในการวิจารณ์คนอื่น แต่ไม่ได้ดูตัวเอง เสียงต่างๆ ออกมาจากคนที่ไม่รู้ หรืออาจจะแสร้งไม่รู้ ก็ต้องเห็นใจ เพราะเอกสารที่ว่อนกันอยู่ไม่ใช่เอกสารทางการจากพรรค ที่อาจยังไม่ใช่ข้อสรุป แต่ก็ถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว
นพ.พรหมินทร์ ชี้แจงข้อกล่าวหาว่าเงินจำนวนนี้ว่าเป็นเหรียญเพื่อไทย (เพื่อไทยคอยน์) หรือสกุลเงินดิจิทัลใหม่ เป็นความเข้าใจผิด เหรียญที่ออกโดยรัฐบาลไม่ใช่สกุลเงินใหม่ ไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัล แต่เป็นเงินที่เกิดขึ้นตามกฎหมายต่างๆ ที่เป็นไปได้ในประเทศไทย
ส่วนข้อกล่าวหาว่างบประมาณอาจจะไม่เพียงพอนั้น พรรคเพื่อไทยได้ประมาณการอย่างชัดเจน แล้วรายงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว ประเมินว่างบประมาณปีหน้าจะมีหมวดไหนอย่างไรบ้าง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะใช้ 560,000 ล้านบาท จากวงเงินทั้งหมด เป็นหลักประกันโครงการ โดยในเบื้องต้นไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่ม
สำหรับข้อกล่าวหาว่าต้องขึ้นภาษีเพื่อดำเนินโครงการนี้ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ภายในระยะเวลา 6 เดือนเท่านั้น ครั้งเดียวแล้วหมดไป ไม่ใช่การแจกเงินไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องตลอดไป
ขณะที่ข้อวิจารณ์ว่าอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อนั้น นพ.พรหมินทร์ อธิบายว่า สาเหตุของเงินเฟ้อเพราะราคาสินค้าแพงเกินกำลังซื้อ แต่หากกระตุ้นให้คนกล้าซื้อ จะทำให้โรงงานเพิ่มความต้องการในการผลิตตามมาด้วย ขณะเดียวกัน 60% ของประชากรไทยยังมีรายได้ต่ำ เมื่อได้เงินมาใช้จ่ายก็จะมีเงินเหลือไปลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่จะมีต้นทุนในการผลิตมากขึ้น
ด้าน ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า หากพิจารณาค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นปัจจัยของเงินเฟ้อแล้ว จะเห็นว่า 20% มาจากราคาพลังงาน และอีกส่วนคือเคหสถาน ดังนั้น นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสองปัจจัยดังกล่าว