เมื่อวานนี้ (4 พ.ย. 2565) คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ร่วมกับหลายองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ได้จัดให้มีเวทีเสวนา “APEC2022 ในทัศนะภาคประชาสังคม” ณ ศูนย์ฝึกอบรมวีเทรน ดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยมีตัวแทนภาคประชาชนเข้าร่วมอภิปรายว่ามองการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC (Asia-Pacific Economic Cooperation: เวทีประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก) ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 14-19 พ.ย. นี้ โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพอย่างไร โดยเฉพาะการขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและการไร้ความชอบธรรมของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนถึงเนื้อหาที่กระทบกับสิทธิของประชาชนในหลากหลายด้าน
#ยัดเยียดแนวคิดเสรีนิยมใหม่-#ตัดการมีส่วนร่วม
คีตนาฏ วรรณบวร จากองค์กร Focus on global south มองว่า APEC คือเวทีที่จะทำให้เรื่องการเปิดการค้าเสรีเป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น จึงไม่ใช่เพียงการจัดงานครั้งเดียว แต่เป็นมหกรรมในการจัดประชุมลักษณะนี้ทั่วโลก เป็นการรวมตัวกันของเขตเศรษฐกิจเพื่อเจรจาหาข้อตกลงว่าการค้าจะโตที่สุดได้อย่างไรบ้าง โดยอยากชวนตั้งคำถามว่า มีการพูดประเด็นทางสังคมบ้างหรือไม่ การประชุมนี้สำคัญอย่างไร สำคัญกับใคร
อย่างแรกมันสำคัญกับประเทศเจ้าภาพการจัดงาน เป็นการแสดงศักยภาพ ประเด็นทางการเมือง การพยายามขยายโมเดลขยายฐานเศรษฐกิจที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะซื้อหรือไม่ เช่น BCG (Bio-Circular-Green Economy: เศรษฐกิจชีวภาพสีเขียว) นอกจากนั้น APEC เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามยัดเยียดแนวคิดเสรีนิยมใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจระดับประเทศ มีความพยายามในการเปิดเสรี ลดกำแพงภาษีของโลก ตอกย้ำว่าทิศทางการค้าไปในทางเสรีนิยมใหม่ที่กดดันมาอย่างยาวนาน และเอเชียเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากเรามีฐานทรัพยากร มีตลาด มีโอกาส มีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง
“นอกจากนั้นยังมีนโยบายด้านการเงินที่เปลี่ยนขนานใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน การจัดสรรเศรษฐกิจต่างๆ ที่เป็นคำถามของเราในฐานะประชาชนว่าเราจะมองอย่างไม่เข้าใจต่อไป หรือจะพยายามเข้ามาเข้าใจแล้วเป็นส่วนหนึ่ง วิกฤตโควิด-19 ชี้ให้เห็นว่ารัฐต่างๆ พยายามรักษาฐานเศรษฐกิจตัวเองอย่างเข้มข้น และอาจนำไปสู่วิกฤตการขาดแคลนทรัพยากรโลก นโยบายการเปิดเสรี เราก็ต้องตั้งคำถามว่ามันทำให้ดีแบบนี้ โดยมีประโยชน์กับประชาชนด้วยได้หรือไม่” คีตนาฏกล่าว
ด้าน ศุภลักษณ์ กาญจนขุนดี วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ APEC เป็นเวทีเดียวในเวทีประชุมใหญ่ในภูมิภาค ที่ไม่มีกลไกให้ภาคประชาชนเข้าถึงเลย ต่างจาก G20 (การประชุมกลุ่มรัฐมนตรีกระทรวงการคลังและผู้บริหารธนาคารกลางจากประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 19 ประเทศ บวกสหภาพยุโรป) และ ASEAN Summit (การประชุมสุดยอดอาเซียน) ที่จัดขึ้นในภูมิภาคเดียวกับไทย โดยในโลกของ APEC ไม่มีอะไรอื่นใดนอกจากการค้า การลงทุน ธุรกิจ และภาคเอกชน
“ไทยตั้งโมเดล BCG เป็นโมเดลทางเศรษฐกิจที่จะให้ APEC รับรอง พูดเรื่องเทคโนโลยีทางชีวภาพ ทรัพยากรหมุนเวียน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดูชวนฝัน หากมันได้มีการพูดคุยเรื่อง BCG ในเวที APEC ก็เป็นเพียงการยอมรับว่ามีการพูดคุยเรื่อง BCG แล้ว เพื่อทำให้เห็นว่า เห็นไหม ทั่วโลกเขาสนใจ BCG แต่จะไปได้ไม่ลึกมาก” ศุภลักษณ์กล่าว
ชำแหละ #BCG เครื่องมือบทอดอำนาจกลุ่มทุน
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) กล่าวว่า การผลักดัน BCG เกิดขึ้นจากทีมเศรษฐกิจของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และผลักดันอย่างมากโดย สุวิทย์ เมษินทรีย์ เมื่อ 3 กุมารถูกขับออกก็มีการดำเนินการต่ออยู่ เขาพูดเรื่องจุดแข็งของไทย เพราะประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพและทางวัฒนธรรม ต้องทำเรื่องนี้เป็นจุดแข็งทางเศรษฐกิจโดยการใส่นวัตกรรมเข้าไป และใส่ประสานสี่ด้าน ได้แก่ รัฐบาล เอกชน สถาบันการศึกษา และภาคสังคม แต่แกนใหญ่ในทางปฏิบัติจริงๆ ก็คือทุนกับหน่วยงานรัฐเท่านั้น พอ สุวิทย์ออก คนที่ขับเคลื่อนต่อก็คือกลุ่มทุนนั่นเอง ปัจจุบัน BCG ได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นทางการผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีแล้ว และมีการอนุมัติงบประมาณขับเคลื่อนแล้ว รวมถึงมีแผนยุทธศาสตร์ BCG 2564-2569 ตามมาด้วยแผนขับเคลื่อนประเทศไทยด้วย BCG 2569-2570
“กลุ่มที่ทำเรื่อง Green จริงๆ ไม่อยู่ในสมการนี้เลย พี่น้องที่ทำไร่หมุนเวียน การชะล้าง การพังทลายของหน้าดิน มันดีกว่าการปลูกป่าพวกนั้นมาก มันสร้างความหลากหลายด้วย แต่สิ่งนี้ไม่มีพื้นที่เลยใน BCG รวมถึงไม่มีสักคำเดียวที่พูดเรื่องเกษตรอินทรีย์ เกษตรแวดล้อม BCG มันจึงเป็นการใช้เวที APEC เพื่อผลักดันประโยชน์และฟอกเขียวบรรษัทยักษ์ใหญ่ และยิ่งชิงทรัพยากร รวมถึงความชอบธรรมของประชาชนที่จะพัฒนาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ” มูลนิธิชีววิถีย้ำ
วิฑูรย์ยังย้ำด้วยว่า การประชุม APEC ครั้งนี้แสดงเจตนาของกลุ่มทุนคือ การฟอกเขียวและแสวงหาตลาดของความร่วมมือผ่าน BCG ในระดับนโยบาย BCG เป็นกระบวนการสืบทอดอำนาจไปจนถึงปี 2570 ผ่านยุทธศาสตร์และกลไกขับเคลื่อนที่เขียนไว้แล้ว แต่ยังไม่เห็นความตระหนักในกลุ่มพรรคการเมืองในเรื่องนี้ที่จะส่งผลสร้างความเหลื่อมล้ำในระยะยาว ซึ่งต้องตั้งคำถามถึงรัฐบาลนี้และรัฐบาลหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อการสืบทอดอำนาจแบบนี้
ผลกระทบต่อ#หลักประกันสุขภาพ-#ฟอกเขียว
เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ มองว่า BCG ที่กระทบกับระบบสิทธิบัตรและหลักประกันสุขภาพ เรื่องการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของสมุนไพรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าปรับแก้ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2552 เพระมันเป็นของกลุ่มทุนไปหมดแล้ว สองคือ การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ย้อนแย้งกับท่าทีของรัฐบาลไทยที่พยายามเข้าร่วม CPTPP ต้องยอมรับเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ นอกจากนั้น BCG พยายามพูดเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี แต่ตอนนี้มันติดที่เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา การผูกขาดสิทธิบัตรยามันจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงย้อนแย้งกับเรื่องส่งเสริมการวิจัยสมุนไพร แต่ไม่มีตลาด เพราะมันผูกขาดสิทธิบัตรยาไปแล้ว
เฉลิมศักดิ์ยังกล่าวว่า ในภาวะโควิด-19 เราเห็นท่าทีรัฐบาลชัดเจนที่จะมีมาตรการยืดหยุ่นในการนำเข้าหรือผลิตเอง จะได้ยาที่ถูกกว่า หลายๆ ประเทศเขาทำ แต่ไทยไม่ทำ หน่วยงานรัฐพยายามแก้ไข พ.ร.บ.ทรัพย์สินทางปัญญา แต่เป็นไปเพื่อการทำให้มาตรการที่จะยืดหยุ่นทำได้ยากขึ้น ทำให้มันต้องผ่าน ครม. อีก ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก รวมถึงข้อเสนอที่ NGOs ขอให้ยับยั้งการใช้ พ.ร.บ.ทรัพย์สินทางปัญญาไว้ก่อนในช่วงวิกฤตโควิด-19 แต่รัฐบาลไทยนิ่งเฉย
“หากเรื่องยาได้รับผลกระทบ จะกระทบกับระบบหลักประกันสุขภาพของไทยด้วย ที่มีทั้งระบบบัตรทอง สิทธิระบบราชการ และประกันสังคม บัตรทองครอบคลุมประชากร 75 เปอร์เซ็นต์ สิทธิระบบข้าราชการแค่ 8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประกันสังคม 15 เปอร์เซ็นต์ เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในระบบหลักประกันฯ เป็นค่าใช้จ่ายด้านยา นั่นจึงเป็นข้อกังวลมากทุกครั้งหากมีการพูดคุยกันเรื่อง FTA เพราะจะเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเรื่องยาของทั้ง 3 ระบบ” เฉลิมศักดิ์กล่าว
ด้าน ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย พยายามเชื่อมโยงว่าในช่วงเดียวกันกับการประชุม APEC มีการประชุม COP27 หรือ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 27 ซึ่งจัดขึ้น ณ ประเทศอียิปต์ ซึ่งรัฐบาลไทยพยายามจะขายเรื่องคาร์บอนเครดิตที่เกี่ยวเนื่องกับ BCG และการประชุม APEC ในครั้งนี้ด้วย โดยตนมองว่าคาร์บอนเครดิต เป็นส่วนหนึ่งของการล่าอาณานิคมภายใน มีเครือข่าย Carbon Neutral (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) ในประเทศไทยที่ตั้งขึ้นมาเพื่อความร่วมมือของรัฐและอุตสาหกรรม ประเทศไทยพยายามบอกว่าเรามีตลาดคาร์บอนเครดิตที่กำลังขยายขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ป่าของรัฐจะกลายเป็นเครื่องมือ กลายเป็นข้ออ้างให้บริษัทว่าช่วยลดคาร์บอนแล้ว จึงต้องวิพากษ์นโยบายโลกร้อนของไทยที่เป็นการฟอกเขียว เป็นเครื่องมือของชนชั้นนำ รวมถึงอุตสาหกรรมฟอสซิล