ที่ผ่านมา การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ มักเป็นการเลือกตั้งที่ชาวอเมริกันและชาวต่างชาติไม่ค่อยสนใจมากเท่ากับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่การเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้กลับมีคนไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนๆ มาก ทั่วโลกก็จับตาผลการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพราะการเลือกตั้งวันที่ 6 พ.ย. นี้ถือเป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกันจะได้แสดงออกว่า พวกเขาพึงพอใจหรือไม่กับประธานาธิบดีที่ไม่ตรงขนบนักการเมืองทั่วไปและทำให้สังคมอเมริกันแบ่งแยกเป็นสองขั้วอย่างอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์
นายจอห์น เบอร์รี อดีตทูตสหรัฐฯ อธิบายว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ แม้จะไม่มีการถามความเห็นใดๆ เกี่ยวกับประธานาธิบดี แต่เปรียบเสมือนประชามติถามความนิยมของประธานาธิบดี เป็นช่องทางการสื่อสารของประชาชนถึงทำเนียบขาวโดยตรง
เลือกอะไรบ้าง?
ทำไมเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้จึงสำคัญกว่าที่ผ่านมา?
ปัจจุบันพรรครีพับลิกันครองเก้าอี้ประธานาธิบดี ตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร ครองเสียงข้างมากในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร และการแต่งตั้งนายเบรทท์ คาวานอห์ ขึ้นเป็นผู้พิพากษาสูงสุดของสหรัฐฯ ก็ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมครองเสียงข้างมากในฝ่ายตุลาการด้วย ทำให้ขณะนี้ สหรัฐฯ อยู่ในกำมือของพรรครีพับลิกันเพียงพรรคเดียว ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดขึ้นน้อยมากในประวัติศาสตร์การปกครองของสหรัฐฯ
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงสำคัญมากสำหรับพรรครีพับลิกันที่ต้องการครองอำนาจทั้งหมดนี้ต่อไป เพื่อให้การออกนโยบายต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นโอกาสของพรรคเดโมแครตในการช่วงชิงเก้าอี้ให้ฝ่ายตัวเองได้เสียงข้างมากในสภาคองเกรสอีกครั้ง เพื่อจะได้มีโอกาสขัดขวางนโยบายที่พวกเขาไม่เห็นด้วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายเบอร์รีมองว่า พรรคเดโมแครตจำเป็นต้องช่วงชิงเกา้อี้ในสภาคองเกรสมาอย่างสวยงามในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่เช่นนั้น พรรคเดโมแครตจะต้องทบทวนตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่า ทำไมประชาชนจึงไม่เชื่อมั่นในพรรค และต้องปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่ ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยหน้าในปี 2020
หากเดโมแครตครองเสีย'ข้างมากในสภาคองเกรส
หากที่ผ่านมา พรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากในสภาคองเกรส พรรครีพับลิกันก็อาจอนุมัติกฎหมายให้มีการปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่ไม่สำเร็จ และรัฐบาลนายทรัมป์ก็คงจะไม่สามารถยกเลิกระบบประกันสุขภาพโอบามาแคร์ได้ นอกจากนี้ หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเดโมแครตก็จะสามารถผลักดันนโยบายของตัวเองได้ด้วย
สำนักข่าว The Sydney Morning Herald มองว่า หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง จะทำให้สภาคองเกรสอภิปรายนโยบายของรัฐบาลอย่างถี่ถ้วน รวมถึงอาจทำให้พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตจะต้องเจรจาเพื่อประนีประนอมกันให้ได้ ก่อนที่จะผ่านกฎหมายออกมา ซึ่งจะทำให้นโยบายไม่เขียนออกมาตามอำเภอใจของนายทรัมป์มากเกินไป และเป็นโอกาสที่จะให้ทั้งสองพรรคได้ทำงานร่วมกันมากขึ้น เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ อนาคตของนายทรัมป์ก็จะสั่นคลอนไปด้วย เพราะหากเดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร พรรคเดโมแครตก็จะมีอำนาจในการเปิดการสอบสวนประธานาธิบดี เรียกสอบพยาน หรือเรียกดูหลักฐานต่างๆ ได้ เช่น เอกสารการเสียภาษีของนายทรัมป์ หรือหลักฐานสำหรับการสอบสวนกรณีที่รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016
เหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้
เดโมแครตมีแนวโน้มจะได้ครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสมากแค่ไหน?
ส่วนมาก พรรคของประธานาธิบดีจะได้คะแนนเสียงลดลงในการเลือกตั้งกลางเทอม เมื่อประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกันแล้ว ก็มีแนวโน้มว่าพรรคเดโมแครตจะได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้เลือก ส.ว. เพียง 1 ใน 3 ของทั้งหมดเท่านั้น การครองเสียงข้างมากในสภาสูงอาจทำได้ยาก จึงทำให้หลายฝ่ายไปให้ความสำคัญกับการช่วงชิงเก้าอี้ในสภาล่างกันมากกว่า โดยพรรคเดโมแครตต้องรักษาเก้าอี้ที่มีอยู่ทั้งหมดไว้ให้ได้ และต้องช่วงชิงเก้าอี้มาเพิ่มอีก 2 ที่นั่ง จึงจะได้เก้าอี้เกิน 217 ที่นั่ง
สำนักข่าว The Sydney Morning Herald ตั้งข้อสังเกตว่า 60 ที่นั่งที่น่าจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด มักเป็นเขตที่เป็นชานเมือง ซึ่งมีประชากรที่มีการศึกษาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ดังนั้น ผลการเลือกตั้งครั้งนี้อาจเอนเอียงไปหาพรรคเดโมแครต เนื่องจากกลุ่มประชากรที่เรียนจบมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะผู้หญิง มักไม่ชอบนายทรัมป์
ที่มา : The Sydney Morning Herald, The Guardian