จักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหาร และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยระบุว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่น่าตื่นเต้นที่สุดครั้งหนึ่ง และสุดท้ายผลการเลือกตั้งปรากฎว่า นายโจ ไบเดน สามารถคว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้มาได้ ทั้งนี้ การเข้ารับตำแหน่งของนาย โจ ไบเดน จะมาพร้อมกับนโยบายเศรษฐกิจ และนโยบายต่างประเทศที่แตกต่างจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่านโยบายด้านเศรษฐกิจของ ไบเดน ดูจะเอื้อประโยชน์ต่อการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้ามากขึ้น แต่โอกาสของแต่ละประเทศก็แตกต่างกันไปตามสิทธิประโยชน์ และข้อตกลงทางการค้าที่มีต่อกัน ในกรณีของไทยการเจรจาข้อตกลงเขตเสรีทางการค้าในกรอบทวิภาคีระหว่างไทย กับสหรัฐหยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 2549 หลังการรัฐประหาร และมาถูกคั่นด้วยช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เคยมีบทบาทเป็นผู้นำกลุ่ม TPP ที่เคยประสงค์จะให้ไทยเข้าร่วมกลุ่มกับสหรัฐฯ ในรูปแบบพหุภาคี
"จนแล้วจนรอดไทยก็ไม่อาจกลับสู่การเจรจาข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้อีกเนื่องจากไทยอยู่ในช่วงรัฐบาลทหารอย่างยาวนาน และเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทยที่ไม่เอื้อต่อการกลับเข้าสู่การเจรจากับสหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น การเจรจาในเชิงพหุภาคี ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลง Trans Pacific Partnership (TPP) หรือ Indo - Pacific Strategy ทางการไทยก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้ เช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา นโยบายด้านการต่างประเทศของไทยขาดความเป็นตัวของตัวเองในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศที่เหมาะสม"
จักรพงษ์ ระบุว่า แม้ว่าทำเนียบขาวจะได้ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ จากพรรคเดโมแครต ที่มีแนวโน้มจะมีนโยายที่เอื้อประโยชน์ทางการค้าต่อนานาชาติ และมีแนวโน้มว่านโยบายต่างประเทศจะสามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น บรรยากาศที่ดีในการลงทนของภาคเอกชน ควรจะเริ่มมีให้เห็น แต่หากรัฐบาลไทยนิ่งเฉยต่อโอกาสและความท้าทายที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ โดยไม่รีบติดอาวุธให้ธุรกิจของไทยโอกาสก็จะหลุดลอยไป
จักรพงษ์ เสนออาวุธสำคัญที่รัฐบาลต้องใส่ใจ 4 ประการ คือ 1. เร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าการลงทุน ทั้งทวิภาคี และพหุภาคี โดยเร่งเจรจา ข้อตกลงเขตการค้าเสรีทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อลดอุปสรรค และสร้างความได้เปรียบทางการค้าการลงทุนซึ่งเมื่อการเจรจาสำเร็จเสร็จสิ้น ย่อมเป็นแท่นกระโดดสำคัญของธุรกิจทั้งการค้าและการลงทุนของไทย
2. รัฐบาลมีหน้าที่ทำงานใกล้ชิดกับธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีนโยบายการเงินที่สนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันได้ ตั้งแต่การเตรียมแหล่งสินเชื่อให้เพียงพอแก่ภาคธุรกิจที่คาดว่าจะได้อานิสงส์ ไปจนถึงการมีเสถียรภาพ และระดับของค่าเงินบาทที่เอื้อต่อบรรยากาศทางการค้าและการลงทุน
3. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ภาคเอกชนด้วยการยกเลิก และปรับปรุง กฎหมาย และการอนุญาตที่ไม่เหมาะสมให้อำนายความสะดวกและลดต้นทุนแก่ผู้ประกอบการตามที่ทีดีอาร์ไอเสนอแนะ และ 4. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทั้งในภาครัฐและเอกชนเพื่อประสิทธิภาพ และความโปร่งใส