ไม่พบผลการค้นหา
'วิษณุ' แนะรัฐบาลควรส่งคำถามให้กฤษฎีกา 2 ช่วง ก่อนออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน ทำดิจิทัลวอลเล็ต หวั่นส่งเป็นร่างกฎหมายไปอาจมีคดีตามหลัง

วันที่ 6 ธ.ค. ที่อาคารรัฐสภา วิษณุ เครืองาม คณะกรรมการกฤษฎีกา อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมถามกฤษฎีกา ถึงการออกร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่าผิดกฎหมายหรือไม่ โดย วิษณุ ระบุว่า เป็นเรื่องที่ตอนนี้ยังตอบไม่ถูก และไม่มีใครตอบถูก เพราะรัฐบาลยังไม่ได้สอบถามมา จึงไม่ทราบว่าจะถามว่าอย่างไร และหากส่งมาแล้วก็มี 2 ทางเลือก คือนำเข้าคณะทำงานที่ชำนาญด้านนี้ ที่มี พนัส สิมะเสถียร เป็นประธานฯ เพราะเป็นคนร่างกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ซึ่งอาจจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีกว่า และตนเองไม่ได้อยู่คณะนี้ หรืออาจจะนำเข้าคณะพิเศษ ดึงคนที่มีความชำนาญด้านต่างๆ เพราะ 

วิษณุ มองว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่มิติด้านกฎหมายการเงินการคลังเพียงอย่างเดียว แต่มีกฎหมายเรื่องเงินคงคลัง กฎหมายวิธีการงบประมาณ และกฎหมายเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญ ที่ต้องอาศัยความสามารถของกรรมการหลายคณะ อย่างไรก็ตาม เห็นว่าทางออกที่ดี ควรส่งคำถามเป็น 2 ช่วง คือช่วงแรกควรถามว่า รัฐบาลประสบปัญหาวิกฤต ประเทศชาติมีวิกฤต และรัฐบาลคิดว่าจะทำอย่างนี้ถูกกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ถูกขอให้ช่วยแนะนำว่าควรทำอย่างไร ถึงจะทำได้เพื่อช่วยแก้วิกฤต ซึ่งหากกฤษฎีกาตอบมาว่า ออกร่างกฎหมายกู้เงินได้ก็ค่อยส่งร่างกฎหมายไปในรอบที่ 2 ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วส่งร่างกฎหมายกู้เงินไปเลย 

"เพราะถ้าทำเช่นนี้ก็จะตรวจสอบได้เฉพาะว่าร่างกฎหมายนี้ถูกต้องตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังหรือไม่ และถ้อยคำถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แล้ววันหนึ่งจะมีคดีไปถึงศาลอีกอยู่ดี ดังนั้นจึงควรถาม 2 รอบ หากถามเร็วก็ตอบเร็ว เชื่อว่าทันเดือน พ.ค. 2567 อย่างแน่นอน" 

ส่วนเงื่อนเวลาในการพิจารณานั้น วิษณุ กล่าวว่า หากส่งคำถามแรกไป ขั้นตอนการตอบอาจจะช้า กว่าคำถามที่ 2 ซึ่งหากเร่งพิจารณาทุกวัน ก็น่าจะเสร็จเร็ว ส่วนคำถามที่ 2 นั้นจะสามารถตอบได้เร็วมาก เพราะมีการตอบคำถามแรกไปแล้ว เช่นถ้ากฤษฎีกาตอบว่า ให้ออกเป็นร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ก็แสดงว่าออกได้ เมื่อส่งร่างพ.ร.บ.ไปก็แค่ตรวจถ้อยคำ 

ส่วนเรื่องที่ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถือว่าผ่านขั้นตอนการพิจารณามาในคำถามแรกไปแล้ว ทั้งนี้ มองว่า กฤษฎีกาชินกับการตอบคำถามเหมือนศาล ที่ถามแค่ไหนก็ตอบแค่นั้น โดยหลายเรื่องที่ถามกฤษฎีกาไปว่า ทำได้หรือไม่ กฤษฎีกาก็ตอบแค่ว่า ได้หรือไม่ได้ แต่ไม่เคยตอบว่า ถ้าไม่ได้จะต้องทำอย่างไร จะไม่มีการชี้ช่องให้ ดังนั้นการจะถามคำถามไปยังกฤษฎีกา ควรถามให้กว้าง

"ถ้าส่งร่าง พ.ร.บ.ไปรอบเดียว เขาจะตีความในมิติที่แคบ ถามช้างก็ตอบช้าง ไม่ได้ตอบม้า แต่ถ้าถามไปว่าจะช้างหรือม้า หรือวัวหรือควายดี เขาก็จะได้ตอบให้" นายวิษณุ กล่าว

ส่วนถ้าส่งร่าง พ.ร.บ.ไปถามเลย จะทำให้มีคดีความตามมาหรือไม่นั้น วิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะที่ขู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกต้องเสมอไป ขณะนี้ต่างคนต่างไม่รู้ทั้งนั้น ว่าในตอนนี้รัฐบาลจะสอบถามกฤษฎีกาว่าอย่างไร

สำหรับกรณีที่สอบถามว่าประเทศวิกฤต จะออก ได้เป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เท่านั้นหรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า อันดับแรกคนที่จะตัดสินว่าประเทศวิกฤตหรือไม่คือรัฐบาล และการที่จะออกเป็น พ.ร.ก. แบ่งได้เป็น 2 วรรค คือ วรรคแรกกรณีที่วิกฤตฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน ให้ออกเป็น พ.ร.ก.ได้ และอีกวรรคหนึ่ง เป็นการแก้ปัญหาฉุกเฉิน จำเป็นเร่งด่วน ต้องเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งในประเด็นแรก เรื่องวิกฤตหรือไม่ฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัย แต่เรื่องนี้จำเป็นต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางการเมืองหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ได้ 

ดังนั้น หากเกิดวิกฤตไม่ถึงขนาดไฟลนก้น เพียงแต่เหมือนวิกฤตมาแล้วหลายเดือนและมีแนวโน้มว่าจะวิกฤตต่อ ก็ออกเป็น พ.ร.บ.ได้ แต่ปัญหา มีอยู่ว่าการออก พ.ร.บ.กู้เงินมาช่วยประชาชน วิกฤตหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง และเข้าใจว่า ในมาตรา 9 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ บัญญัติไว้ว่า รัฐจะไปจ่ายเงินเพื่อประชานิยมไม่ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องที่จะต้องตอบ และจะไปสัมพันธ์กับเรื่องที่ไม่ตรงปก ตอนที่หาเสียง พูดเอาไว้อย่างไรก็เกี่ยวโยงกับกฎหมายเลือกตั้งด้วย

เมื่อถามย้ำว่าการออกเป็น พ.ร.บ. เงินกู้จะต้องระมัดระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่นั้น วิษณุ กล่าวว่ารัฐบาลรู้อยู่แล้วไม่ต้องบอกผ่านสื่อ เพราะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แต่ขอย้ำว่าถ้าถามกฤษฎีกาไป 2 ท่อน 2 ตอนอย่างที่เสนอ ก็คงไม่ต้องมาถามคำถามนี้ โดยเฉพาะต้องขมวดคำถามว่า ทั้งหมดถ้าทำไม่ได้ต้องทำอย่างไร เช่นถ้าบอกว่าให้ใช้งบประมาณ ก็ต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินการออกเป็น พ.ร.บ. กู้เงินก็ถือว่าเสี่ยง

ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าการออก พ.ร.บ.เงินกู้เป็นทางลงของรัฐบาลนั้น วิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบเพราะยังไม่เห็นทางขึ้น จึงไม่ทราบว่าทางลงเป็นยังไง