เมื่อปี 2017 รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการสั่งปิดโรงงานอุตสากรรมไปมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอันเลวร้ายสุดขีด และกำลังกลายเป็นความหายนะของประเทศ พร้อมกับประกาศแผนห้ามผลิต และจำหน่ายรถยนต์ใช้น้ำมัน โดยหันไปส่งเสริมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

กระทั่งต่อมาในปี 2018 ปัญหาดังกล่าวดูเหมือนไม่เบาบางลงเลย ทำให้แผ่นดินจีนกลายเป็นเมืองมลพิษที่ประสบปัญหาหมอกควันร้ายแรงสุดในโลก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นควัน แม่น้ำลำคลองเหม็นเน่า และบึงน้ำทะเลสาบมีปลาตายเป็นเบือ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดรัฐบาลจีนกำลังดำเนินการตามแผนใหม่ คือสั่งการให้กองทัพทหาร 60,000 นาย เร่งปลูกต้นไม้บนพื้นที่ 84,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 32,400 ตารางไมล์ เพื่อต่อสู้กับมลพิษทางอากาศ โดยพื้นที่ดังกล่าวมีขนาดเท่าประเทศไอร์แลนด์ ทั้งๆ ที่ปัจจุบันประเทศจีนมีความหนาแน่นของพื้นที่ป่าประมาณ 208 ล้านเฮกตาร์ จากการเพิ่มจำนวน 33.8 ล้านเฮกตาร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ตลอดปี 2018 รัฐบาลจีนวางเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าจาก 21 เปอร์เซ็นต์เป็น 23 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ครอบคลุมผืนดินมหาศาลของประเทศ และเป็นแนวทางการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกองกำลังทหารส่วนใหญ่ถูกส่งตัวไปยังเขตอุตสาหกรรมหนักในมณฑลเหอเป่ย (Hebei) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มลพิษทางอากาศหนักสุดในประเทศ และอยู่ใกล้ๆ กับกรุงปักกิ่ง ขณะที่ทางเทศบาลของมณฑลเหอเป่ยให้คำมั่นที่จะเพิ่มพื้นที่ป่าให้ถึง 35 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2020

“ในปี 2018 ประเทศจีนวางเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าใหม่อีกอย่างน้อย 6.66 ล้านเฮกตาร์” เจียง เจี้ยนหลง (Zhang Jianlong) หัวหน้าโครงการปลูกป่ากล่าว

นอกจากนั้น กลุ่มทหารที่โยกย้ายมาก็ไม่ใช่แค่ปลูกแล้วจบ แต่ต้องคอยดูแลรักษาต้นไม้ด้วย โดยส่วนใหญ่พวกเขาถูกปลดประจำการจากพื้นที่ชายแดนทางตอนเหนือของประเทศที่มีหนาวมากๆ ดังนั้น การย้ายมาปลูกต้นไม้อาจทำให้รู้สึกดีขึ้น ตราบใดที่ตำแหน่ง และสิทธิของพวกเขายังคงเดิม

ที่ผ่านมา ในปี 2015 ปักกิ่งเคยประกาศแผนการปลดทหารประจำการ 300,000 นาย และบุคลากรของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (People's Liberation Army – PLA) จำนวนมาก เพื่อให้ไปทำภารกิจปลูกต้นไม้ และฟื้นฟูโครงการสาธารณูปโภคสำคัญของประเทศ