ไม่พบผลการค้นหา
เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ "ยุบอนาคตใหม่" คดีกู้เงิน ตุลาการชี้มีอำนาจรับเรื่องไว้พิจารณา ระบุการให้กู้เงิน แม้ไม่ใช่รายได้ แต่เป็นรายรับทางการเมือง ทั้งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ เข้าข่ายความผิดฐานรับเงิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย สั่งยุบพรรคพร้อมตัดสิทธิทางการเมือง กก.บห. 10 ปี

วันที่ 21 ก.พ. ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่

ผลการวินิจฉัยระบุดังนี้


ประเด็นที่หนึ่ง

ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (8 ต่อ 1) วินิจฉัยว่า

การดำเนินการกรณียุบพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 ของผู้ร้องนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ร้องมีมติในครั้งประชุมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 ว่า ให้นายทะเบียน พรรคการเมืองรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน กรณีมีการร้องเรียนว่ามีเหตุแห่งการยุบ พรรคการเมืองตามมาตรา 92 ซึ่งนายทะเบียนฯ ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเสนอต่อนายทะเบียนฯ แล้ว และนายทะเบียนฯ ได้นำเสนอต่อผู้ร้องเพื่อพิจารณา ผู้ร้องเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 อันเป็นเหตุให้ยื่นคำร้อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) จึงมีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคดีนี้ ซึ่งเป็นคนละกรณีกับกระบวนการดำเนินคดีอาญาที่แยกเป็นอิสระต่างหากจากคดีนี้

การยื่นคำร้องของผู้ร้องจึงชอบด้วยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องนี้ ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้


ประเด็นที่สอง

มีเหตุสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามมาตร 72 ประกอบมาตรา 90 หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) วินิจฉัยว่า การที่พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มา โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 72 นั้น เห็นว่า บทบัญญัติมาตร 72 ได้กำหนดข้อห้ามไว้เพื่อป้องกันมิให้พรรคการเมืองไปเกี่ยวข้องกับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเหล่านั้น อันจะทำให้พรรคการเมืองกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมหรือสนับสนุน หรือช่วยเหลือในการกระทำความผิดไปด้วย และมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันพรรคการเมืองของประเทศไทย อันเป็นมาตรการที่สำคัญเพื่อเสริมสร้างสถาบันพรรคการเมืองของประเทศไทยให้เป็นสถาบันที่มีความโปร่งใสและเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชน

การดำเนินกิจกรรมของพรคการเมืองต้องอาศัยรายได้ของพรรคการเมืองซึ่งกฎหมายกำหนด แหล่งที่มาไว้ตามมาตรา 62 ดังนั้น เงินส่วนใดที่พรรคการเมืองนำมาใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองซึ่งมิได้มีแหล่งที่มาและวิธีการได้มาตามที่กฎหมายระบุไว้ ย่อมถือว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบ แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการมือง พ.ศ. 2560 มิได้บัญญัติห้ามการกู้ยืม สำหรับพรรคการเมืองไว้โดยชัดเจน แต่ก็ไม่ได้รับรองว่าให้กระทำได้ ประกอบกับพรรคการเมือง มีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน และเงินกู้ยืมแม้มิได้เป็นรายได้ แต่ก็เป็นรายรับและเป็นเงินทางการเมือง การดำเนินการเกี่ยวกับการได้มาและการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองจึงต้อง กระทำภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว การกู้ยืมงินของพรคการมืองจึงต้องสอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

คำว่า "บริจาค" และ "ประโยชน์อื่นใด" ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ.2560 เป็นคำที่มีความหมายเฉพาะในกฎหมายนี้เพื่อกำหนดสิ่งที่อยู่ในขอบข่าย บังคับแห่งกฎหมายในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องการควบคุมการสนับสนุนทางการเงินที่ให้แก่พรรคการเมือง ให้เป็นอิสระจากการถูกครอบงำของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล

ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า งบการเงินประจำปี 2561 ของผู้ถูกร้อง มีคำใช้จ่ายสูงกว่า รายได้อยู่เพียง 1,490,577 บาท แต่ผู้ถูกร้องกลับทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ผู้ถูกร้อง รวม 2 ฉบับ รวมเป็นจำนวนเงินสูงถึง 191,200,000 บาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคผู้ถูกร้อง ที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ เป็นการทำสัญญากู้ยืมเงินที่ไม่เป็นตามปกติทางการค้าและไม่เป็นไปตามปกติวิสัยของการให้กู้ยืมเงินและการชำระหนี้เงินกู้ยืม ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ถูกร้องที่สามารถ คำนวณเป็นเงินได้ และเมื่อรวมประโยชน์อื่นใดที่ผู้ถูกร้องได้รับจากเงินกู้ยืมดังกล่าวกับเงินที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้บริจาคให้แก่ผู้ถูกร้องในปี 2562 จำนวน 850,000 บาท แล้ว ย่อมชัดแจ้งว่า เป็นกรณีการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อปีซึ่งต้องห้าม ตามมาตรา 66 วรรคสอง

จากข้อเท็จจริง พฤติการณ์และพยานหลักฐานดังกล่าว เห็นว่า การกู้ยืมเงินของผู้ถูกร้อง มีเจตนาหลีกเลี่ยงการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นตามมาตรา 66 เมื่อการรับบริจาคดังกล่าวต้องห้ามตามมาตรา 66 จึงเป็นการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นโดยรู้ หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 70 กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้อง กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 อันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามมาตรา 92 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3)


ประเด็นที่สาม

คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองของผู้ถูกร้องจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัคร รับเลือกตั้งตามมาตรา 92 วรรคสอง หรือไม่ อย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า เมื่อผู้ถูกร้องได้กระทำการอันเป็น เหตุให้สั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง จึงต้องสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ผู้ถูกร้องแล้ว จึงชอบที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้ถูกร้องที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ในวันที่ 2 มกราคม 2562 หรือวันที่ 11 เมษายน 2562 โดยกำหนดระยะเวลาของการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งให้เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนพอเหมาะ พอควรแก่กรณี ดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 72562 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2562 ดังนั้น จึงให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องมีกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง


ประเด็นที่สี่

ผู้ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งจะไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่พรรคผู้ถูกร้องถูกยุบตามมาตรา 94 วรรคสอง หรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) วินิฉัยว่าเมื่อสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องแล้ว จึงต้องสั่งห้ามมิให้ผู้ซึ่งเคย ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคของผู้ถูกร้องที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ในวันที่ 2 มกราคม 2562 หรือวันที่ 11 เมษายน 2562 ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง