บริเวณแยกคอกวัว อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 15.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันทำกิจกรรม 'เดินไล่ตู่' โดยตั้งขบวนเดินเท้าจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มุ่งหน้ายังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตามเส้นทาง ถ.ราชดำเนินกลาง ถ.พิษณุโลก ถ.เพชรบุรี และ ถ.พญาไท เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลาออกจากตำแหน่ง

ก่อนเริ่มเดินขบวน พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ได้เดินทางมาตรวจตราความเรียบร้อยในพื้นที่ และเปิดเผยว่า ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้เตรียมการไว้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากเส้นทางที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้เดินขบวนเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุด สำหรับการชุมนุมขอให้เป็นไปด้วยความสงบ ไม่กระทบกับประชาชน อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจไม่ได้นำตู้คอนเทนเนอร์มาปิดกั้นเส้นทาง แต่ได้วางกำลังรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ไว้ ในกรณีมีเหตุรุนแรง โดยขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าพบการพกพาอาวุธมาในกลุ่มผู้ชุมนุม

ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก ตร.) ระบุว่า การชุมนุมในวันนี้มีการรวมตัวจากคนหลายกลุ่ม ขณะนี้ยังคงจำเป็นต้องบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากมีความเสี่ยงแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ การรวมตัวมั่วสุมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค จึงจำเป็นต่อการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว อีกทั้งตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของการบังคับใช้กฎหมาย มีการจัดกิจกรรมชุมนุมกว่า 4,000 ครั้ง มีการดำเนินคดี 1,300 คดี ทั่วประเทศ เฉพาะ บช.น.รวม 800 กว่าคดี มีการจับกุมผู้ก่อความวุ่นวายที่แยกดินแดง น่าสังเกตว่าเป็นเด็กและเยาวชนเกินครึ่ง

พ.ต.อ.กฤษณะ ยังยืนยันว่าตำรวจไม่อยากจับกุมผู้ใด แต่ขอให้ปฏิบัติตามข้อกฎหมายต่างๆ เช่น พ.ร.บ.ความสะอาด พ.ร.บ.จราจร และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

เวลาประมาณ 15.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งขบวนบนผิว ถ.ราชดำเนินกลาง นำโดยกลุ่มรถจักรยานยนต์เพื่อเปิดเส้นทางการจราจรให้ขบวนที่เดินเท้า โดยในช่วงเริ่มต้นผู้ชุมนุมมีจำนวนประมาณกว่า 100 คน ก่อนที่จำนวนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเมื่อเคลื่อนตัวไป โดยมีแนวร่วมจากหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มทะลุแก๊ส กลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มอาวชีวะขับไล่เผด็จการ เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเคลื่อนขบวนมายังบริเวณแยกผ่านฟ้าลีลาศ พบเจ้าหน้าที่ตั้งแผงกั้นวางกำลังขวางเส้นทางการจราจรไว้ เพื่อสกัดกั้นผู้ชุมนุมที่มุ่งหน้าไปยัง ถ.ราชดำเนิน ขบวนจึงเบี่ยงไปใช้เส้นทาง ถ.หลานหลวง และมุ่งหน้าไปยังแยกนางเลิ้ง ก่อนจะใช้เส้นทาง ถ.พญาไท เคลื่อนขบวนมาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในเวลา 17.10 น.

จากนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการปราศรัยถึงปัญหาต่างในการบริหารของรัฐบาลปัจจุบัน รวมไปถึงการใช้ประมวลกฎหมายอาญาฯ มาตรา 112 และการเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้กับผู้ต้องคดีทางการเมืองที่ยังถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเวลานี้ พร้อมประชาสัมพันธ์ถึงกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวในวันพรุ่งนี้ (12 มิ.ย.) ที่บริเวณหน้าเรือนจำคลองเปรม เวลา 16:00 น. ก่อนจะประกาศยุติการชุมนุม

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ชุมนุมบางส่วนที่ไม่ยุติและต้องการประท้วงยังหน้าบ้านพักของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ถนนวิภาวดีรังสิต ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันอีกครั้งบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง โดยมวลชนเคลื่อนตัวด้วยขบวนรถจักรยานยนต์มายังบริเวณแยกดินแดง และช่วงประมาณ 18.40 น. ได้มีการใช้พลุและประทัด โยนลงบนพื้นถนน ทำให้หน่วยตำรวจคุมฝูงชน (คฝ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจสนธิกำลังจำนวนไม่ต่ำกว่า 3 กองร้อย พร้อมรถขยายเสียง และรถน้ำแรงดันสูง หรือ จีโน่ มาวางกำลังกั้นขวางบน ถ.วิภาวดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝั่งของผู้ชุมนุมได้มีการใช้พลุควัน ประทัด และขว้างปาสิ่งของมายังแนวของ คฝ. อย่างต่อเนื่อง จากนั้น คฝ. จึงได้เคลื่อนกำลังรุกคืบเข้ากระชับพื้นที่ จนกลุ่มผู้ชุมนุมล่าถอยไปยังบริเวณหน้าเกล้าสยามคอนโด แต่ยังมีการยิงพลุอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกระจายกำลังกั้นขวาง 2 ช่องทางจราจร คือบน ถ.วิภาวดีรังสิต และ ถ.ดินแดง ด้านมุ่งหน้ามักกะสัน

เมื่อเวลาประมาณ 19.15 น. มีการจุดไฟเผารถกระบะของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จอดขวางอยู่หน้าสำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จนลุกไหม้ขึ้นบริเวณกระโปรงหน้า จากนั้นรถคันดังกล่าวจึงได้ล่าถอยเข้าไปในซอยบุญอยู่ ด้านข้างสำนักงาน ป.ป.ส.

ต่อมาเวลา 19.30 น. รถกระบะบรรทุกทุกเจ้าหน้าที่ คฝ. จำนวน 5 คัน พร้อมเจ้าหน้าที่เดินเท้า ทำการรุกคืบพื้นที่ตั้งแต่บริเวณซอยตลาดศรีวานิช มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนจะวกกลับไปวางกำลังบริเวณถนนวิภาวดีรังสิตขาออก จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้สลายตัว เจ้าหน้าที่จึงทยอยนำรถออกจากพื้นที่ ทำให้การจราจรกลับสู่สภาพปกติ ทั้งนี้ยังไม่การปะทะกันรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมวลชน

ภาพ : วิทวัส มณีจักร