นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 10 ประจำปี 2568 วันอังคารที่ 11 มีนาคม 2568 นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้มีข้อสั่งการในการประชุม ดังนี้
นายกรัฐมนตรี สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดังนี้
มาตรการบริหารจัดการผลไม้ที่จะทยอยออกสู่ตลาดตามที่ได้รับรายงานจาก ก.เกษตรฯ ว่า ปี 2568 ผลไม้หลายชนิดจะมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สร้างรายได้ จากการส่งออกให้แก่ประเทศมากกว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปี โดยมีประเทศจีนเป็นตลาดหลัก ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำและสินค้าตกค้าง ในช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและมาตรการบริหารจัดการต่าง ๆเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกร โดยให้
1) ก.พาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับการกระจายสินค้าออกจากแหล่งผลิตรวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ และขยายตลาด ต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อผลักดันการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ มากขึ้น
2) ก.คลัง โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาขยายระยะเวลาเปิด-ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังจีนให้สอดคล้องกับปริมาณและช่วงเวลาการขนส่งทุเรียน
3) ก.คมนาคม หารือภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมและอำนวยความสะดวก ทั้งรถขนส่งสินค้าและตู้ขนส่งสินค้าให้เพียงพอ
4) ก.เกษตรฯ กำกับดูแลการตรวจคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสารแคดเมียมและสารสีเหลือง (Basic Yellow 2) ซึ่งทางประเทศจีนกำหนดให้ตรวจ 100 % หากพบผู้กระทำความผิด ให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที
5) ก.ต่างประเทศ ก.เกษตรฯ ก.พาณิชย์ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน ในการอำนวยความสะดวกการนำเข้าทุเรียนจากไทย เช่น การยอมรับการตรวจสอบของห้องแล็บในไทย ตั้งแต่ต้นทางโดยไม่ต้องตรวจซ้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้นำเอาข้อสั่งการทั้ง 5 ข้อไปปรับใช้กับสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น มังคุด ลำไย ที่ผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากด้วย
นายจิรายุ กล่าวต่อไป ว่า นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการต่อไปว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 จากการที่ ประเทศเยอรมนี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีผู้ประกอบการจากทั่วโลกมารวมตัวกัน เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศตนเอง ทั้งโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวสายการบิน สินค้า และบริการต่างๆ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศในปีนี้ รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ขนาดบูธของประเทศไทยปีนี้ ได้จองพื้นที่เกือบทั้ง Hall ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพของประเทศไทยได้เป็นอย่างมาก ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก ทั้งภาคเอกชน และประชาชน รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ร่วมมาเปิดบูธ 160 ราย โดยในปีนี้ รัฐบาลได้เน้นถึงการส่งเสริม softpower ซึ่งเป็นจุดขายหลักของประเทศไทยอีกด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า สิ่งที่สำคัญคือปีนี้รัฐบาลได้ผลักดันให้ผู้ประกอบการเมืองน่าเที่ยวใน 18 จังหวัดได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน สุโขทัย แพร่ ลำปาง สตูล ตรัง นครศรีธรรมราช หนองคาย อุดรธานี เลย นครพนม จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรีและสระแก้ว ได้มีโอกาสเจรจาธุรกิจกับผู้แทนบริษัทนำเที่ยว นำเสนอเสน่ห์ที่แตกต่างตอบโจทย์นักเดินทางที่มองหาจุดหมายใหม่ เชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว โดยได้รับความสนใจจากบริษัทนำเที่ยวชั้นนำจากหลายประเทศ/ดินแดน อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สเปน สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย ไต้หวัน เวียดนาม ญี่ปุ่น จอสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งทุกประเทศรู้สึกยินดีที่ประเทศไทยมีการนำเสนอในมุมของ Hidden Gems Cities เป็นโอกาสให้พัฒนาศักยภาพ ผู้ประกอบการให้มีความพร้อมในการเข้าสู่เวทีเจรจาธุรกิจระดับสากลได้อย่าง มีประสิทธิภาพ
ซึ่งได้รับรายงานว่า มีการซื้อขาย แล้วประมาณ 7หมื่นกว่าราย มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริป ประมาณ 6 หมื่นกว่าบาท สร้างรายได้เข้าประเทศเบื้องต้น กว่า 4,400 ล้านบาท ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จงาน 3-6 เดือนจะมีการเจรจา สัญญาซื้อขายเพิ่มเติมอีกแน่นอน โดยขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เร่งติดตามผลและเดินหน้าประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพด้านแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกของไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการ