ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของ 'แพทองธาร ชินวัตร' หรือ อิ๊งค์ ปรากฏตัวบนก้าวย่างที่ถูกสื่อมวลชนคาดการณ์ว่า เธออาจเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นปี 2566
ด้วยบทบาท 'หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย' การเดินสายไปตามจังหวัดที่เป็นฐานเสียงสำคัญของ 'พรรคเพื่อไทย' ยังเป็นการหยั่งกระแสก่อนที่จะเกิดการเลือกตั้งในเร็ววันนี้ด้วย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตระกูลชินวัตรเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 2 คน
เมื่อ 'ดร.ทักษิณ ชินวัตร' บิดาบังเกิดเกล้าเป็นนายกฯ คนแรกของ 'ชินวัตร'
เมื่อ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ผู้เป็นอาแท้ๆ เป็นนายกฯ คนที่สองของ 'ชินวัตร'
ด้วยสถานการณ์ในอนาคตเป็นตัวกำหนด การเมืองในวันข้างหน้ายังต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ด้วยประเทศไทยต้องติดหล่มหยุดชะงักมาเป็นเวลา 8 ปี ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สืบทอดเผด็จการรัฐประหารมาตั้งแต่ ปี 2557
ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นของบางสำนัก อย่างล่าสุด 'สถาบันทิศทางไทย' เผยผลสำรวจ เรื่อง ผู้ที่อยากสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี” ซึ่งทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-19 ส.ค. 2565 ชี้ว่า แพทองธาร คือ ผู้ที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี มากที่สุดมาเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 33.88
ยังไม่นับผลสำรวจ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2565 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง พรรคการเมืองไหน ยอดนิยม กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ครั้งนั้น 'แพทองธาร' มีชื่อมาเป็นอันดับที่ 2 ของคู่แข่งนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนชื่นชอบมาเป็น อันดับ 2 ร้อยละ 19.6
'วอยซ์' นัดหมาย 'แพทองธาร' สัมภาษณ์พิเศษผ่าน #VoicePolitics ที่โรงแรม Rosewood Bangkok ย่านเพลินจิต ใจกลางกรุงเทพมหานคร ถึงภารกิจและเป้าหมายหลักของเธอในการเข้าสู่ถนนการเมืองเต็มตัว
ก่อนที่ 'แพทองธาร' จะตัดสินใจลงสนามการเมืองตัวเต็มภายใต้เสื้อสีขาวและแดงที่ปรับโทนใหม่ให้ตอบรับภาพลักษณ์ใหม่ของ 'พรรคเพื่อไทย'
ด้วยประสบการณ์ด้านการบริหาร Rende Development Co., Ltd. (บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด) กับพี่สาว 'พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์' รวมถึงการทำธุรกิจโรงแรม ‘เทมส์ วัลลีย์’ เขาใหญ่ โรงแรม SC Park และโรงแรม Rosewood Bangkok และยังบริหารสนามกอล์ฟอัลไพน์ เรียกว่าสั่งสมประสบการณ์การบริหารมาระดับหนึ่ง
"สงสัยมันจะอยู่ในสายเลือดหรือเปล่า มันเป็นดีเอ็นเอ มันอยู่ในดีเอ็นเอ หรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ว่าตอนที่ตัดสินใจเข้ามา ก็ได้ปรึกษาคนในครอบครัว ที่บ้านอิ๊งค์ค่อนข้างจะสนิทกันใกล้ชิด ตั้งแต่เด็กแต่เล็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องการตัดสินใจต่างๆ เรื่องความรัก คุยกันหมดทั้งบ้าน จะปรึกษากัน"
'แพทองธาร' บอกด้วยว่า ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นหัวหน้าครอบครัว ก็อยากเข้าพรรคเพื่อไทยอยู่แล้วตั้งแต่แรก เผื่อจะได้เป็นพลังของคนรุ่นใหม่ เป็นพลังของคนที่มีไฟอยากจะทำอะไรเพื่อประเทศได้บ้าง
"เรามีลูก เราก็คิดว่า แล้วลูกเราจะโตขึ้นมาในสังคมแบบไหน จะมีโอกาสมากพอให้เขาเหมือนที่เมืองนอกเขามีกันหรือเปล่า ก็อยากจะเป็นส่วนเล็กๆ ที่จะช่วยผลักดันอะไรหลายๆ อย่าง ให้ทั้งคนรุ่นใหม่ รุ่นลูกเรา หรือว่ารุ่นเราเอง ก็ตั้งใจแบบนั้น"
นี่คือเหตุผลหลักในเบื้องต้นที่เป็นจุดพลิกชีวิตให้ 'แพทองธาร' ต้องเดินตามรอยผู้เป็นพ่อและอา
คุณพ่อ (ดร.ทักษิณ ชินวัตร) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอนอิ๊งค์อยู่ ป.2 ก็คือ 8 ขวบ การเมืองของเราคืออะไร การเมืองคือการเดินหาเสียงพบประชาชน การเมืองคือการไปที่สวนลุมพินีด้วย สวัสดีคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย การเมืองคือการแจกใบปลิวสมัยนั้น การเมืองคือสิ่งที่คุณพ่อทำแล้วคือสิ่งที่ทำแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น คือสิ่งที่เราภูมิใจ
ตอนนั้นชอบที่สุดคือตอนคุณพ่อเป็นนายกรัฐมนตรี มันต้องชอบวันที่สวยงาม แน่นอนอยู่แล้ว วันที่โดนปฏิวัติไม่ชอบแน่นอน แต่ว่าพอถึงวันนี้มันรับความเป็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วชีวิตมันก็คือไปต่อ วันที่ชอบ ถามว่าทำไมถึงชอบ พ่อกับมาเล่าที่โต๊ะทานข้าวด้วยสายตาที่มันมีประกาย วันนี้นะมีคนมาหาพ่อ ถอดเสื้อมีรอยผ่า ตั้งแต่ต้นจนถึงข้างล่างใหญ่มากเลย เขาผ่าหัวใจ จ่ายเงินแค่ 30 บาท (30 บาทรักษาทุกโรค) ซึ้งย้อนหลัง (หัวเราะ) พอเขาพูดเสร็จ ตาเขาเป็นประกาย พร้อมกับมีความน้ำตาคลอ เข้าใจไหม อาจจะเป็นชีวิตหนึ่งคนที่เล่าให้ฟัง มันก็จะมีคนอีกหลายกลุ่มหลายคนที่ได้รับประโยชน์นี้
ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยสร้างนโยบายนี้ขึ้นมา แล้วคุณพ่อก็เป็นคนนำทีมให้มันสำเร็จ มันเป็นความภูมิใจ ฟังแล้วตาเราก็เป็นประกายไปด้วย พักหนี้เกษตรกร เกษตรกรไม่ต้องจ่ายหนี้
โอ้โห...เขามีหนี้อยู่ ถูกพักหนี้ไป เขามีเวลาทำมาหากิน พวกเขาจ่ายหนี้ได้สบายขึ้น พวกเขาได้ส่งลูกหลานไปเรียน
มันไม่เหมือนตอนเด็ก เพราะว่ามันยากกว่า ตอนเด็กเรามองภาพรวม แล้วเราไม่ต้องทำอะไรมาก อย่างตอนนี้มันยากกว่า แต่ว่ามันสนุกกว่า มันมีความชอบกว่า คือสนุกเนี่ย ไม่ได้สนุกเหมือนเกมสนุกนะคะ แต่มันคือมีความที่มีเหตุและผลในตัว ยังไม่ต้องในประเทศนะ ในพรรคก่อน ในพรรคเพื่อไทย เราได้เรียนรู้ทุกวันเลยที่อิ๊งค์เข้าพรรคเนี่ย จากคนเก่งๆ ในพรรค คือเก่งมากนะ เราอย่าไปคิดนะคะ อิ๊งค์เป็นคนหนึ่งที่อายุ 36 ซึ่งทีมทำงานเห็นกันอยู่แล้ว มีทั้งคุณหมอ มีทั้งอะไรมากมาย อายุ 50 ปีขึ้น ซึ่งอิ๊งค์ทำงานกับเขาอย่างไม่ได้มีช่องว่างอะไร อิ๊งค์เรียนรู้กับเขาเยอะมาก อิ๊งค์รู้สึกชอบมากเลยที่ผู้ใหญ่ในพรรคอิ๊งค์ก็ยังฟังเด็ก 20 กว่า เพราะเขามีอะไรใหม่ๆ เขามีอะไรที่มันจริงแล้วมันน่าสนใจ
ก็ไม่ได้ไม่เคย ก็เคยถูกขุดคุ้ยกันอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้กังวลค่ะ ไม่ได้กังวลเลย เพราะขุดคุ้ยไปหมดแล้ว ทุกวันนี้อาจจะมีแค่บัญชีน้อยๆ เงินเดือนของเราจากบริษัทที่ทำงาน มันก็ไม่มีอะไรแล้วนะคะ เพราะว่าที่บ้านอยู่ในการเมืองมานานมากแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้มีเรื่องใหม่ แง่มุมนี้ ก็ไม่ได้กลัวอะไร ไม่ได้กังวลอะไร ตอนนี้อิ๊งค์ยังไม่ได้เข้าการเมืองที่เป็นตำแหน่ง หรืออะไรของทางรัฐบาลโดยตรง เพราะเรายังไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้น หน้าที่ที่อิ๊งค์ได้รับมอบหมายตอนนี้ก็คือทำเต็มที่ในฐานะของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย ก็ทำตรงนั้นไป
อิ๊งค์ชอบทัศนคติเขา ทัศนคติของคุณพ่อ ซึ่งคำว่าพลังบวกพูดง่าย ทำจริงยาก แต่ทัศนคติของพ่อเสมอตั้งแต่วันที่เป็นนายกฯ ถูกปฏิวัติย้ายไปอยู่นอกประเทศ จนถึงวันนี้ที่อายุ 73 ปี ทัศนคติดีเสมอ ไม่เคยมีคำว่าแก้แค้น ไม่เคยมีคำว่ายอมแพ้ ไม่มี เขาเป็นคนที่แบบ อ้าว เฮ้ย...มันเกิดขึ้น เขาอยากพิสูจน์ความจริงนะ ตัวเขาเองที่โดนปัญหาหนักมาก เขายังให้กำลังใจลูกที่กำลังจะเข้าห้องสอบได้เลย เขายังให้กำลังใจลูกที่มีปัญหาความรักได้เลย เขายังเป็นคนอย่างนั้นอยู่เลย อิ๊งค์รู้สึกว่ามันคือความโชคดีของอิ๊งค์ที่อิ๊งค์มีพ่อเป็น ดร.ทักษิณ
คุณพ่อมีความกตัญญูสูง ไม่ว่าใครเคยช่วยเหลือท่านสมัยที่ท่านยังเป็นนายตำรวจ ช่วยเหลือเรื่องแค่แบบเลี้ยงข้าวท่าน ถ้าท่านยังจำได้ พาท่านไปประสบการณ์ใหม่ๆ ท่านก็คิดว่าคนนั้นดีกับท่าน คือท่านจะคิดว่า คนดีกับท่านง่าย คุณพ่อเป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว ซึ่งอันนี้สิ่งที่จะเข้ามาในการเมืองถ้าอิ๊งค์เอามาเป็นตัวอย่าง อิ๊งค์คิดว่า คุณพ่อเป็นคนเก่งสำหรับอิ๊งค์นะคะ เก่งมากๆ แต่รับฟังคนอื่นมากๆ รับฟังคนที่เก่ง รับฟังคนที่มีไอเดีย มีความคิด แม้กระทั่งรับฟังคนที่มีปัญหา อิ๊งค์ว่าเขาเป็นคนใจกว้าง ทำผิด พร้อมเริ่มใหม่ คือมันเป็นสิ่งที่อิ๊งค์ว่ามันรีเฟรช ถ้าเราจะเข้าการเมือง หรือไม่เข้า อิ๊งค์ก็อยากได้คอนเซปต์นี้ในชีวิตเพราะคิดว่ามันเพิ่มพลังให้ตัวเองอยู่แล้วในทัศนคตินี้
"เราหาเสียงกันแบบแลนด์สไลด์ คือคะแนนท่วมท้นเพื่อประโยชน์ของประชาชนเอง"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องเป็น 30 บาทรักษาทุกโรคอยู่แล้ว เพราะทุกวันนี้ยังใช้กันอยู่เลย ประชาชนได้ประโยชน์มากมายจริงๆ จากอันนี้ อย่างที่บอก หลักคือ การลดรายจ่ายให้ประชาชน แล้วพรรคเพื่อไทยถ้ายังไงได้เป็นรัฐบาลก็ต้องลดรายจ่ายให้ประชาชน ไม่ว่าเป็นนิทรรศการต่างๆที่เราเคยจัด เพื่อแสดงจุดยืนตรงนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นผ้าอนามัยฟรีถ้วนหน้า หรือในเรื่องของ 30 บาทถึงที่หมาย หลายอย่างเราโชว์คอนเซปต์ให้ดูนั่นคือการลดรายจ่าย ที่เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำต่อไป
เอาทีละความรู้สึกนะ ความรู้สึกแรกเลย ตอนที่ในพรรค ทั้งทางผู้ใหญ่ ทางเพื่อนๆ น้องๆ ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เลือกเราเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ด้วยชื่อเราก็เขินนิดหนึ่งก่อน เพราะว่าเป็นผู้หญิงใช่ไหมคะ พอคำว่าหัวหน้าครอบครัวรู้สึกถึงว่าเป็นคุณพ่ออะไรอย่างนี้ เป็นแบบคุณพ่อของที่บ้าน พอมันเป็นเรา ก็ฟังในเนื้องาน พอฟังในเนื้องาน ดีใจแล้วก็ภูมิใจที่พรรคเลือกให้เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เมื่อก่อนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคมันมีคอนเนคชันเยอะ จ่ายเงินบ้าง มันทำให้ประชาชนกับพรรคการเมืองไกลกันออกไป พอมันไกลกันออกไป มันเหมือนกับว่า ประชาชนไม่มีส่วนร่วม
เตรียมตัวค่ะ อิ๊งค์ขอบคุณนะคะ ใครก็ตามที่ชมว่าดี หรือว่าคนที่ไม่ได้ชมหรือมีข้อติมา อิ๊งค์รับไว้หมด เพราะมือใหม่จริงๆ มือใหม่มาก แล้วก็รู้สึกว่าแต่ละครั้งที่ขึ้นไป ตื่นเต้นมากทุกครั้ง บางทีนี่เวทีแรกๆ เรียกว่า แอบมีขาสั่นบ้างนะคะ พอขึ้นไปมันแบบ เฮ้ย...คนมันเยอะ แล้วเราก็ต้องจะพูดอย่างไรให้สารอันนี้ถึงประชาชนจริงๆ และให้มันไม่น่าเบื่อเกินไปที่จะพูดกับประชาชน เราก็คิดเยอะ ก็ตื่นเต้นทุกรอบ ยังตื่นเต้นอยู่เลย เริ่มไปมาหลายจังหวัด เริ่มมีความมั่นใจ เรานิ่งไว้ก่อน นิ่งสยบเวลาเราไม่มั่นใจ เราก็นิ่งไว้ก่อน
แน่นอนค่ะ ก่อนขึ้นเวที นี่แทบจะเหมือนคล้ายๆ บทสวดบางอย่างโทรไป คุณพ่อ เล่าให้ฟังสิว่าตอนที่พ่อตื่นเต้น พ่อตื่นเต้นแค่ไหน บอกความจริงกับเรามาว่าพ่อก็ตื่นเต้นใช่ไหม เขาจะเล่าให้ฟังว่า โอ๊ย...เมื่อก่อนพ่อนี่พูดเป็นแกงจืดเลยนะ โอเค เราจะได้รู้สึกว่า เรามีช่องให้เราพัฒนาตัวเองได้อย่างนี้ค่ะ ให้รู้ว่าไม่ใช่ว่า พอเราเห็นพ่อตอนเป็นนายกฯ แล้ว เป็นอะไรแล้ว ก็เห็นว่าเขาเก่งแล้ว เราอยากฟังว่าเขาเคยไม่เก่งมาก่อนเหมือนกัน เราก็เลย โอเคเข้าใจ มีเพื่อนอุ่นใจนิดนึง
ไม่มีทางค่ะ (หัวเราะ) นี่ตอบแบบไม่ต้องคิด ไม่มีทางค่ะ ตื่นเต้นแน่นอน แต่ว่ามันตื่นเต้นทุกรอบ ให้ทำอย่างไรให้ไม่ตื่นเต้นก็ยังหาทางไม่ได้เหมือนกันนะ
ถ้าตอนที่คุณพ่อ ตอนนั้นอิ๊งค์รู้เรื่องแล้ว ตั้งแต่ 8-9 ขวบ ที่คุณพ่อเข้าการเมือง เวลาที่ท่านทำนโยบาย ไม่ว่าจะเป็น 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือว่า 30 บาทรักษาทุกโรค หรือจะเป็นอะไรก็ตามกองทุนหมู่บ้าน คือคุณพ่อจะพูดว่าเขาเคยเป็นคนรากหญ้ามาก่อน เคยเป็นเด็กต่างจังหวัดมาก่อน ตัวเขาเองนะคะ แล้วเขาจะชอบก่อนที่จะเข้าการเมือง ก่อนที่จะยุ่งมากๆ พาเราทั้งหมดไปดูบ้านเกิด เนี่ยตลาดตรงนี้พ่อเคยอยู่ คุณปู่มีตู้เย็นคนแรกเลยนะตอนนั้น เขาจะเล่าให้เราฟังถึงชีวิตที่เขาเจอมาจริงๆ เนี่ยพ่อโชคดีนะ ที่พ่อเรียนเก่ง เลยได้ทุน เขาบอกว่า ยังมีเด็กต่างจังหวัดอีกเยอะแยะเลยที่เรียนเก่ง แต่ไม่มีโอกาส
จริงๆ คุณพ่อเริ่มทำก่อนเข้ามาการเมือง คือการตั้งมูลนิธิไทยคม อันนี้คือการสนับสนุนในเรื่องของการศึกษา การกีฬาของเด็ก ให้โอกาสเด็กต่างจังหวัด ให้โอกาสเด็กที่เข้าไม่ถึงโอกาสก่อนเลย อันนี้คือสิ่งที่คุณพ่อตั้งใจทำอยู่แล้ว แล้วพอเข้าการเมือง เขาก็เลยผลักดันในเรื่องของคนรากหญ้า ให้ทุกคนได้มีโอกาสเท่าเทียมกัน ตัวของอิ๊งค์เอง พอเข้าถึงการเมือง มันมีจิตใจที่ถูกปลูกฝังด้วยเรื่องพวกนี้มาสักพักอยู่แล้ว แล้วพอได้มาเจอประชาชนจริงๆ มันอินกับความทุกข์ยากของเขา
"พรรคเพื่อไทยพร้อมอยู่แล้วที่จะผลักดันนโยบาย เพื่อให้ถึงมือประชาชนจริงๆ สักที"
นวัตกรรมของคนรากหญ้า หรือคนไทยโดยส่วนมาก คือการทำให้ชีวิตเขาดีกว่าเดิม ให้ชีวิตเขาง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยการใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วย นวัตกรรมทางการเกษตรที่จะคาดการณ์เรื่องดินฟ้าอากาศ เพื่อให้เขาทำผลผลิตได้มากขึ้น นวัตกรรมที่จะทำให้เขาเก็บของผลิตภัณฑ์เขาได้ยาวนานมากขึ้น เพื่อให้ผลผลิตเขามันไม่เน่าเสียไป ทำให้ขายของได้ดีขึ้น คือการเพิ่มเงินในกระเป๋าเขานั่นแหล่ะ
นวัตกรรมมีหลายแบบ เพราะฉะนั้นในการแบ่งใช้ในกลุ่มของคน ไม่ว่าจะเป็นคนต่างจังหวัด จนมาถึงคนในเมืองก็ตามมันต้องใช้นวัตกรรมที่แตกต่างกัน ในพรรคเพื่อไทยเองมีแหล่งข้อมูลที่เราได้ติดต่อมากมายเพื่อมาทำเป็นนโยบาย และจะช่วยแก้ปัญหาประชาชนในอนาคต
ส่วนการมีส่วนร่วม ในพรรคเริ่มก่อนเลยก็คือ อิ๊งค์เป็นตัวประสานระหว่างทั้งคนรุ่นเก๋าของเราที่เคยเป็นรัฐบาลรับใช้ประชาชนมาก่อน เรารับสมาชิกพรรคคนใหม่ๆ เข้ามาในพรรคเพื่อไทย เพื่อจะทำงาน ช่วยกันคิดนโยบายที่ตอบโจทย์คนทั้งประเทศจริงๆ เพราะเราอยากให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ตอบโจทย์ของคนทุกกลุ่ม ทุกรุ่น ทุกสมัย ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่กลุ่มแค่คนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นเก่า หรือคนรากหญ้า เราต้องการจะเป็นคำตอบของคนทั้งประเทศ
จริงเหรอ อิ๊งค์ว่าคนสูงวัยติดเฟซบุ๊กมากกว่าลูกหลานอีกหรือเปล่า (หัวเราะ) เคยเห็นไหม ที่บ้าน เขาเล่นไลน์กันมากกว่าเราอีก อิ๊งค์เห็นรุ่นคุณแม่ คุณลุงอิ๊งค์ โอ้โห ส่งไลน์กันมากกว่าเราอีก ไม่ค่ะ แต่เอาจริงๆ แล้วเทคโนโลยีอีกหน่อย นวัตกรรมอีกหน่อย มันจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวแบบนั้น มันก็จะง่ายเหมือนเฟซบุ๊ก เหมือนไลน์นี่แหล่ะ มันจะเข้าใจง่ายแบบนั้น เพราะว่าเราต้องมีวิธีสื่อสารที่จะทำให้คนเข้าถึง แล้วเกิดประโยชน์จริงๆ และวิธีเข้าถึงต้องไม่ยาก ยากมากเราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่หรอก โอเคเราอาจจะพร้อมปรับตัว แต่จริงๆ มันต้องทำให้ง่ายสำหรับทุกคน
"รัฐประหารคือปัญหา ไม่ใช่รัฐบาล การฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง การผิดกฎ การแทรกเข้ามาแบบล้มกระดานใหม่ อันนั้นมากกว่า ที่เป็นปัญหา"
คิดว่าไม่ต้องเข้ามาทางการเมืองก็เห็นอยู่แล้วว่า เศรษฐกิจมันตกต่ำ ปัญหาปากท้องของพี่น้องมันคือเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้น อิ๊งค์คิดว่ามันเป็นเรื่องหลัก แล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องเป็นนักการเมืองก็ทราบอยู่แล้ว ทุกวันนี้ที่เราเจอกับคำถามว่ามีคนไทยกี่คนในระยะ 8 ปีที่ผ่านมารวยขึ้น คงเป็นคนกลุ่มน้อยมากๆ ส่วนใหญ่ของประเทศก็มีฐานะที่ค่อนข้างลำบากขึ้น เพราะว่าเศรษฐกิจมันไม่เอื้ออำนวย
อิ๊งค์คิดว่า การเมืองเป็นหลักสำคัญ เป็นตัวแปรสำคัญในการแก้ไขปัญหาของประเทศ เราหนึ่งคนไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ นักธุรกิจหนึ่งคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ มันต้องใช้กลไกทางการเมืองเพื่อจะเข้าไปในรัฐสภา เพื่อจะแก้ปัญหา อิ๊งค์รู้สึกว่า ถ้าเรามีโอกาสตรงนี้ได้ผลักดันให้นโยบายดีๆ ของพรรคเพื่อไทย กลับมาตอบสนองพี่น้องประชาชนอีกครั้ง ตอนนี้ปัญหาปากท้องสำคัญ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า เงินในกระเป๋ามันหายไป มันโล่ง ทำอย่างไรที่จะเติมเงินในกระเป๋าให้พี่น้องได้บ้าง
ตอนสมัยพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล เราก็จะมีการลดรายจ่ายของพี่น้อง โดยการที่ 30 บาทรักษาทุกโรค และเราก็คิดว่า สมัยนี้ 30 บาทมันยังใช้อยู่ แต่เราต้องการจะยกระดับมันขึ้น ไม่ใช่แค่ 30 บาทรักษาทุกโรคแล้วก็จบไป มันต้องมี อย่างที่พรรคเพื่อไทยทำอยู่คือ Telemedicine (โทรเวชกรรม) เป็นโครงการนำร่องที่ จ.เชียงใหม่ก่อน เราจะทำเหมือนกับว่า เวลา 30 บาทมันราคาดี ประชาชนสามารถเข้าถึงสาธารณสุขได้ การรอคอยหรือคิวจะยาวมาก
อย่างพี่น้องทางต่างจังหวัดเองที่เป็นเกษตรกร เขาก็ 1 วันค่าแรงมันสำคัญมาก ไม่สามารถที่จะหยุดงาน 1 วันแล้วไปต่อคิวเพื่อที่จะรับการดูแลรักษาสุขภาพหรือชีวิตตัวเอง มันมากไปสำหรับราคานั้น เพราะฉะนั้น Telemedicine ก็จะช่วยได้เยอะมาก คือเราสามารถติดต่อกับคุณหมอ หรือว่าการจองระบบแทนที่จะเสียเวลาไป 8-9 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อไปนั่งรอคิว เราก็อาจจะเสียเวลาแค่ 1-2 ชั่วโมง เพื่อเดินทางไปนัดคิวแม่นยำ จองได้เลย รับการรักษาตามเวลานั้นๆ จัดระเบียบใหม่ทั้งหมดในเรื่องของระบบที่จะดูแลพี่น้อง พรรคเพื่อไทยเน้นย้ำตรงนี้ เพื่อจะลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ เพื่อขยายโอกาสให้กับประชาชน
อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าปากท้องมันสำคัญ แต่อีกเรื่องที่สำคัญมากๆ คือ เรื่องการท่องเที่ยว ประเทศเรารายได้หลักคือการจัดนักท่องเที่ยวได้เยอะมาก เพราะเรามีธรรมชาติที่สวยงาม Sand Sun Sea เราขายแล้วขายอีก แต่จริงๆ แล้ว มันควรพัฒนาไปอีกเลเวลหนึ่ง เรื่องของ Soft Power ก็ตาม เราควรพัฒนาว่า สิ่งต่างๆ มันควรจะเกิดขึ้นได้ด้วย Man Made ก็ได้เป็น Human Made ขึ้นมา เหมือนอย่างที่เมืองนอกเขาทำ เราไม่ต้องรอว่า ต้องฤดูนั้นฤดูนี้เท่านั้น เพื่อที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามา
เราควรจะสร้างอะไรที่สามารถดึงนักท่องเที่ยวได้ตลอดปี พอนักท่องเที่ยวเข้ามา เงินมันไหลในระบบของประเทศมากๆ เลย มันไม่ใช่แคว่า โรงแรมจะเต็มอย่างเดียว ค่าครองชีพค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วจ่ายมันเยอะมาก เห็นง่ายๆ จากโรงแรมที่เขาใหญ่ นักท่องเที่ยวคือคนไทย พอถึงโควิด มันกระทบแค่ช่วงที่เขาปิดกัน แต่นักท่องเที่ยวไม่กระทบเพราะเป็นคนไทย จะเห็นเลยว่า พอเศรษฐกิจมันแย่ลง คนจ่ายเงินน้อยลงมาก แม้จะมีโครงการของรัฐช่วย เราเที่ยวด้วยกัน ทุกคนใช้ โรงแรมก็ได้ประโยชน์จากเราเที่ยวด้วยกัน แต่การจ่ายของคนต่อหัว มันน้อยลงไปกว่าครึ่ง ทำให้เห็นว่า คนไทยมีฐานะที่ฝืดเคืองมากขึ้นทางเศรษฐกิจ มันเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ ต้องทำให้เงินมันไหลไปทั้งระบบให้ได้
ชอบแซวเขามากเลยพรรคเพื่อไทย พี่ๆ ที่เขามีเอฟซีเยอะๆ อย่างพี่อิ่ม (ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย) พี่น้ำ (จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย) เอฟซีเยอะสุด พี่เดียร์ (ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย) ใช่ไหมคะ พี่เปิ้ล (กิตติ์ธัญญา วาจาดี ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย) เราชอบแซวมาก เพราะทุกทีไปหาเสียงจะมีเอฟซีมารอตลอด เขาจะแบกของถือดอกไม้ อิ๊งค์เคยฟังเขาสัมภาษณ์ ถามว่าเป็นไง เอฟซีมา พี่ๆ เขาก็มีจุดยืนเลยนะ ว่าเราเป็นนักการเมือง เราไม่ใช่ดารา
เพราะฉะนั้นเราจะต้องนำเสนอสิ่งที่เรามาทำงานก่อนเลย แล้วก็ชอบเวลาน้องๆ เขามายืนรอ ส.ส. เขากลายเป็นชอบๆ พวกพี่ๆ คนนี้เขาก็ติดตามผลงาน แล้วเป็นสนใจการเมือง เพราะ ส.ส.ทั้งหลายอยู่ในการเมือง พอพูดเรื่องวาระการอภิปราย น้องๆ ติดตามหมด ตัดคลิปเอามาแชร์ เหมือนมีความรู้เรื่องประเทศไปด้วย
จำได้ตอนเด็กๆ ถ้าคุณพ่อไม่ได้เป็นนายกฯ ก็คิดว่าไม่ได้สนใจการเมืองเหมือนกัน แต่กลายเป็นน้องๆ พวกนี้ศึกษาจริงว่าพรรคเพื่อไทยอะไรกันบ้าง พี่ๆ เหล่านี้ทำอะไรกันอยู่ก็ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจการเมือง
พรรคก้าวไกลก็เป็นพรรคหนึ่งในฝ่ายประชาธิปไตย อิ๊งค์คิดว่าคนเก่งๆ ในพรรคก้าวไกลก็เยอะ อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี การเมืองเหมือนกีฬา เมื่อเราลงแข่งก็มีผู้แพ้ ผู้ชนะ เราต้องเคารพกฎกติกานั้นถ้าประชาชนไว้ใจพรรคใด พรรคนั้นก็เป็นผู้ชนะแล้วก็แก้ปัญหาให้ประชาชนต่อไป แต่ข้างนอกเราไม่ต้องโกรธกัน ใครแพ้ใครชนะเราไม่ต้องเกลียดกัน ไม่จำเป็น มันไม่ใช่เรื่องของคนยุคสมัยนี้ที่จะคิดแบบนั้นว่า เมื่อเราแพ้เราคือคนที่ไม่ถูกกัน ไม่จำเป็น อิ๊งค์ไม่เห็นรู้สึกไม่ชอบใครในพรรคก้าวไกลเลย อิ๊งค์ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นค่ะ
อิ๊งค์รู้สึกว่าเรามีนโยบายดีๆ เสนอให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน นั่นคือเกมของกีฬา อันนี้คือการเลือกตั้ง มันต้องเป็นอย่างนั้น แล้วอิ๊งค์คิดว่า 2 ปีที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยปรับตัวเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตอบโจทยน์ให้ครบกับคนทุกกลุ่ม คนทุกอายุ เจเนอเรชัน เราจะพยายามปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนไป 2 ปีที่ผ่านมาเราทำงานหนักมาก จะเห็นได้จากสื่อพรรคเพื่อไทยมีการเปลี่ยนรูปแบบ เพราะเราต้องการส่งสารให้ประชาชนรู้ว่าเราปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนไป แต่เราไม่เคยลืมชาวรากหญ้านะ ที่เรารู้ปัญหาของเขา เคยแก้ปัญหาของเขาได้สำเร็จ
ทุกพรรคมีโอกาสในใจเขา อิ๊งค์คิดอย่างนั้น ทุกพรรคมีโอกาสในใจเขา ก้าวไกลอาจมีโอกาสในใจเขาตอนนี้ พรรคเพื่อไทยก็อาจเข้าไปมีพื้นที่ในหัวใจเขาบ้างก็ได้ อย่างที่บอกเราปรับตัวมากันเยอะมาก แล้วการที่เราสื่อสารกับประชาชนด้วยความจริงใจโดยตรง และปัญหาที่เรามองเห็นพร้อมทางออก
นี่คือการหาเสียงแบบแลนด์สไลด์ ที่ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทย ทุกคนต้องหาเสียงแบบแลนด์สไลด์ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดี๋ยวต้องมาจับมือกับพรรคเล็กพรรคน้อย หรืออะไรมากมาย คือเราจะต้องไม่อยากโดนล้มด้วย ส.ว. (สมาชิกวุฒิสภา) เหมือนเดิมที่ผ่านมา อันนี้ที่เราหาเสียงกันแบบแลนด์สไลด์มันจำเป็น เราไม่ได้คะแนนท่วมท้น เราจะได้ฟินๆ มันไม่ใช่ คือคะแนนท่วมท้นเพื่อประโยชน์ของประชาชนเอง
เขาผูกพันมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อเป็นนายกฯ คุณอา เขาก็จะมาจับมือแล้วบอกว่า คิดถึงคุณพ่อมาก คิดถึงคุณอามาก อะไรอย่างนี้ คือบางจุดที่มันเวลาเราคุยกับคน เราจะสัมผัสได้เวลาเขาจริงใจ หรือไม่จริงใจ พอเขาจริงใจขึ้นมาเราเองก็กระตุ้น รู้สึกซึ้้ง รู้สึกดีใจที่คุณพ่อคุณอายังถูกจำได้ในเรื่องดีๆ ทั้งนั้นเลย ที่เคยช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะชาวรากหญ้า
เรื่องเสียงเชียร์เป็นนายกฯ มันเป็นอีกเรื่องที่มันต้องผ่านกระบวนการอีกมากมาย สถานการณ์ในอนาคต ความเหมาะสม แล้วก็เวลา อิ๊งค์ว่ามันต้องประกอบด้วยทุกอย่าง ไม่ใช่ว่า คนหนึ่งคนคิดจะอยากเป็นนายกฯ ขึ้นมา จะสามารถทำมันได้ มันเป็นเรื่องใหญ่
"ทุกวันที่เขาพูดถึงการกลับบ้าน เขาคิดแต่เรื่องหลาน เขาคิดแต่เรื่องครอบครัว"
ก็ต้องแล้วแต่ท่านจะตีความอีกว่ามันคือกี่ปีกันแน่ อย่างที่วัยรุ่นเขาพูดกันว่า หัวจะปวดเหมือนกันค่ะ ก็ปวดหัวไปด้วย
นับไม่ยากค่ะ วาระการดำรงตำแหน่งคือ 8 ปีใช่ไหมคะ ถ้าใช้คำว่านายกรัฐมนตรีมาแล้ว 8 ปีตามกฎหมายก็คือ ห้ามเป็นเกิน 8 ปีไม่ว่าใครก็ตาม ก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะตีความยังไง
แน่นอนค่ะ นายกฯ ส่งผลต่อทิศทางการเมืองไทยอยู่แล้ว แน่นอน ก็ 8 ปีที่ผ่านมาเป็นยังไงก็ดำเนินต่อเนื่องอะค่ะ ถ้านายกฯ คนเดิมก็ต่อเนื่องแบบเดิม แน่นอนค่ะ
การเลือกตั้งจำเป็นที่สุด อิ๊งค์ไม่ได้บอกว่าเลือกตั้งมา ต้องคนนี้ มันไม่ใช่ อิ๊งค์ไม่เคยคิดแบบนั้น อิ๊งค์คิดว่าอิ๊งค์มั่นใจในพรรคเพื่อไทย อิ๊งค์มั่นใจในคนของพรรคเพื่อไทย ศักยภาพ นโยบาย การทำงานที่เคยทำมาแล้ว มันมีหลายอย่างที่พร้อม พรรคเพื่อไทยพร้อมอยู่แล้วที่จะผลักดันนโยบาย เพื่อให้ถึงมือประชาชนจริงๆ สักที
แน่นอนค่ะ คนที่เขาไม่ได้รวย เขาจนลงเลยใน 8 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเป็นคนจน เขามาเป็นคนจน อิ๊งค์ไปหาเสียง ไปพูดคุยกับพี่น้องหลายจังหวัด คิดดูพี่น้องเราเป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ ลำใยราคาตกมากที่ไป จ.เชียงราย มาล่าสุด ไป จ.ศรีสะเกษ มาทุกคนบ่นหอมแดงขายไม่ได้ราคา ถามว่าอะไรแพง ปุ๋ย ต้นทุนต้องแพงขึ้นเหรอ ต้นทุนแพง ผลผลิตออกมาราคาตก พี่น้องจะอยู่ยังไง มันไม่ต้องเก่งจากไหน มันคิดแค่นี้ชีวิตเขาก็แย่แล้ว น่าเห็นใจนี่แหละ พรที่อยากได้ อยากให้มีการเลือกตั้ง ชีวิตพี่น้องจะได้เปลี่ยนแปลงสักที
สิงคโปร์เขาเคยกลัวเรานะว่า เราจะไปข้างหน้าเขาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ไม่ต้องกลัวค่ะ สิงคโปร์ไม่ต้องกลัว สิงคโปร์ชิลๆ ไปได้เลย
ระบบนิเวศของการเมืองของไทยมันยังเป็นอย่างนี้อยู่นะ มันยังเป็นการใส่ร้ายป้ายสีเพื่อจะทำให้อีกคนหนึ่งเสียเครดิต มันก็ยังเป็นประมาณนี้ แต่จริงๆ อิ๊งค์ว่า อย่างที่พูด โซเชียลมีเดียเข้ามา อะไรต่างๆ เข้ามา ถ้าวันนั้นไทยรักไทยมีโซเชียลมีเดีย จะไม่เกิดปัญหามากมายแบบนี้เลย จะไม่เกิดการเข้าใจผิดมากมายขนาดนี้เลย แล้วอิ๊งค์มั่นใจว่าถ้าคุณพ่อมีสื่อในมือ เหมือนที่อิ๊งค์มีอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก คนได้แจ้งอะไรลงไปอย่งรวดเร็ว และทันการ และคงไม่ต้องยืดเยื้อกันมาขนาดนี้ ถ้าวันนั้นมีคงจะดีกว่านี้มาก
แน่นอนค่ะ อิ๊งค์ว่าบางอย่าง บางข้อด้วยซ้ำ กฎหมายไม่ได้ฟ้องหรือจะเล่นได้ มันเป็นเรื่องข่าวลือหลายๆ อัน เป็นความเชื่อ เป็นอะไรที่ถูกตราหน้าโดยที่มันไม่จริง อีกหลายอย่างเลย อิ๊งค์คิดว่า อย่างสมัยนี้ เรื่องเล็กๆน้อยๆ สมมติว่าเราเข้าใจผิดในเรื่องดารา หรืออะไรก็ตาม เขาก็สามารถชี้แจงผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัวได้เลย ซึ่งอิ๊งค์คิดว่าอย่างนี้แหล่ะ มันดีกว่า และอีกหน่อยถ้ามันมีข่าวโคมลอยอะไรขึ้นมาอีก ทุกคนเข้ากูเกิลได้เลยค่ะ หา หาคอมเมนต์ได้เลยว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างไร เข้าเฟซบุ๊กของคนๆ นั้น หรือใครที่เขาคุยกันอยู่เป็นกระแส อิ๊งค์ว่ามันหาคำตอบได้ทันท่วงที นี่แหล่ะคือโลกของยุคนี้ ยุคปัจจุบัน และอนาคต
แน่นอน มองแน่นอน มีช่วงที่เราอยากเข้าการเมืองเพราะว่าคุณพ่อคือฮีโร่ของเรา ในช่วงที่เราไม่เอาเลย กับการเมืองเพราะเราเจ็บ แต่ช่วงนี้เป็นมันเป็นช่วงของโอกาส มันเป็นช่วงของโซเชียลมีเดีย มันเป็นช่วงของความเปิดเผยความตรงไปตรงมา ความมีสิทธิมีเสียงที่เท่าเทียมกัน มันคือเวลาของเรา มันคือเวลาของคนที่พร้อมที่จะเผชิญกับเรื่องจริง
เราต้องกลับไปคิดว่า รัฐประหารครั้งแรกในยุคที่เราอยู่ ในสมัยของท่านนายกฯ ทักษิณ ตอนนั้นเศรษฐกิจเป็นอย่างไร มันแย่เท่าทุกวันนี้ รัฐประหารทำไมก่อน อันนี้มันคือ มันเป็นปัญหาจริงๆ คือรัฐประหารคือปัญหา ไม่ใช่รัฐบาล การฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง การผิดกฎ การแทรกเข้ามาแบบล้มกระดานใหม่ อันนั้นมากกว่า ที่เป็นปัญหา ที่ประเทศหยุดฉะงักไปก็เสียดายค่ะ มันตั้ง 8 ปีแล้ว
อิ๊งค์คิดว่า 8 ปีที่ผ่านมา คนไทยมันเสียโอกาสไปเยอะมากจริงๆ โอกาสต่างๆ ช่วงโควิด-19 เข้ามามันฮิตทั้งโลก แน่นอน แต่เมื่อก่อนที่เราเคยมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน ทุกวันนี้ โควิด อิ๊งค์ไปอังกฤษกลับมา 9 วัน อิ๊งค์ไม่ใส่แมสก์ (หน้ากากอนามัย) เลย ไม่มีใครเขาใส่กัน เพราะใส่แล้วเราอาจจะเป็นหวัด แต่ไม่มีใครเขาใส่กัน เขาเลิกนับจำนวนผู้ติดเชื้อไปหมดแล้ว
แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวยังกลับมาไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลย ถ้าเราได้ดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา หรือสร้างอะไรให้กับประเทศ ในแง่มุมของนักธุรกิจเอง เห็นเงินเข้ามาเลยค่ะ ถ้าเราพัฒนาประเทศตรงนี้ ยังไม่ทำให้มันหยุดชะงัก ต้องมีนโยบายอะไรที่มันแก้ไขตรงนี้ได้แล้ว ทำให้เศรษฐกิจทุกอย่าง ชีวิตของประชาชนหยุดชะงัก ทั้งหยุด ทั้งถอยหลัง เราจะไปเจรจากับประเทศไหนก็ยาก
เคยหาเสียงไปเหมือนกันว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้มีโอกาสทำงานถึง 8 ปีต่อเนื่อง โอ้โห..มั่นใจเลยค่ะ จะเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอีกเยอะแน่ๆ
"จนถึงวันนี้ที่ (ดร.ทักษิณ) อายุ 73 ปี ทัศนคติดีเสมอ ไม่เคยมีคำว่าแก้แค้น ไม่เคยมีคำว่ายอมแพ้"
เราต้องอยู่แบบมีความหวัง ใช่ไหมคะ ถ้าเราไม่มีความหวัง เราคงไม่มีแรงทำอะไรแล้ว อิ๊งค์มีความหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะแก้ปัญหาให้พี่น้องได้ อิ๊งค์มีความหวังว่าประเทศเราจะไม่ฉีกรัฐธรรมนูญอีก อิ๊งค์มีความหวังว่าประชาธิปไตยจะเป็นของที่อยู่คู่กับคนไทยไปอีกนานเท่านาน
ไม่ทราบ ไม่ทราบจริงๆ ไม่ทราบจริงๆ ถามว่ามันไม่ควรจะเกิดตั้งแต่ปี 2549 แล้ว แต่ถามว่าจะเกิดขึ้นอีกไหม ไม่ทราบ ไม่ทราบ ถ้าประชาชนคือหัวใจ นั่นคือระบอบประชาธิปไตย ถูกไหมคะ แต่ถ้าไม่เอาประชาชนเป็นหลัก ก็ไม่ทราบจริงๆ
นึกถึงตัวเองขับรถ (หัวเราะ) นึกถึงตัวเองขับรถอยู่บนทางด่วน คนเดียวแล้วก็กลับบ้านไม่ได้ค่ะ เพราะว่ามีทหารปิดซอยบ้านหมดแล้ว ระหว่างทางกลับทุกคนบอกว่ามีรถถังเต็มไปหมดค่ะ นึกถึงสภาพเด็กอายุ 20 ปี ขับรถคนเดียวอยู่บนท้องถนน ไม่รู้จะไปที่ไหนแล้วก็โทรติดต่อกับคุณพ่อไม่ได้ พอขับรถสักพักคุณแม่ก็บอกให้ไปที่เซฟเฮาส์ก็เลยไป ไม่ค่อยรู้ทางด้วยนะ แต่ก็ไปแล้วก็อยู่ตรงนั้นสักพักค่ะ แล้วก็ค่อยๆได้ข่าวพี่ชาย ค่อยๆ ได้ข่าวพี่สาว ตอนนั้นอิ๊งค์คุณแม่อยู่ด้วยกัน แล้วก็ค่อยๆ ได้ข่าวพ่อสุดท้าย ว่าทำอะไรอยุ่เดินทาง มันหลับตาจะนึกภาพแรกพูดถึง 19 ก.ย. 2549 คือตัวเองขับรถค่ะ
ถ้าคุณพ่อได้กลับมา สมมติได้กลับมาใช่ไหมคะ กลับบ้านค่ะ เชิญเตรียมห้องนอนไว้ให้แล้ว อยู่บ้านอิ๊งค์นี่แหละ ไม่ต้องไปบ้านใคร ก็อยากให้อยู่ด้วยกัน อยากให้เลี้ยงหลาน เพราะเขา 73 ปีแล้ว ทุกวันที่เขาพูดถึงการกลับบ้าน เขาคิดแต่เรื่องหลาน เขาคิดแต่เรื่องครอบครัว คุณพ่อเป็นคนที่โฟกัสครอบครัวมากๆ เพราะเขาดูแลคนในครอบครัวอยู่แล้ว อยู่ไกลถ้าใครทะเลาะกัน ก็โทรหาเขานะ ให้ช่วยแก้ปัญหา ถ้ากลับมาได้เลี้ยงหลาน อิ๊งค์คิดว่าเขาจะมีความสุขมาก ครอบครัวจะมีความสุขเช่นกัน
จริงๆ คือเป็นความหวังนะคะ ที่ทุกคนมีสิทธิหวัง คุณพ่อก็หวัง ครอบครัวเองก็หวัง อิ๊งค์เชื่อว่าคนไทยหลายๆ คนก็หวังให้คุณพ่อกลับบ้าน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีที่ทุกคนมีความหวัง แต่กระบวนการก็ต้องรอดูกันว่าจะเกิดขึ้นได้ยังไงบ้าง
ถ้ารูปแบบของชีวิตทางเลือกของเขา อย่างในส่วนตอนเด็กๆ ก่อนถึงอายุหนึ่งที่เขาจะเลือกเองเป็น อิ๊งค์คงเลือกโรงเรียน เลือกอะไรให้ในแบบฉบับพ่อแม่ทั่วไป แต่ว่าหลังจากนั้นเขาอยากจะทำอะไร จะไปทางไหน เราคงจะเป็นแค่ที่ปรึกษาให้เขา จะพยายามตัวเองมากกว่า ไม่ไปวางที่ลูก วางจะคิดกับลูกแค่ไหน อิ๊งค์เข้าใจคนเป็นแม่ อยากครอบครองควบคุมถ้าทำได้ แต่อิ๊งค์ไม่อยากให้มันเยอะเกินไป
อิ๊งค์อยากให้ลูกอยู่ในโลกที่สามารถเลือกเองได้ โดยมีเราเป็นที่ปรึกษา เราเป็นที่พึ่ง เขาจะได้ไปในแนวทางที่มีความสุข อิ๊งค์คิดว่าโลกเราเปลี่ยนเร็วมาก อยากให้ธิธารปรับตัวกับโลกทีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ ไม่ใช่แค่โลกเปลี่ยนแปลง อาจจะเป็นกระแสทางครอบครัวเองก็ได้ อย่างตอนอิ๊งค์เองที่วันหนึ่งเป็นลูกนายกฯ แล้วนายกฯ ถูกปฏิวัติ คือเป็นช่วงเปลี่ยน เพราะฉะนั้นอะไรแบบนี้มันเกิดขึ้น กับตัวอิ๊งค์เองแล้ว อิ๊งค์ก็อยากให้ลูกเป็นเด็กที่สามารถกลับมายืนได้ กลับมามีความสุขได้กลับมามองเห็นชีวิตดีขึ้นอีกครั้งได้ ก็อยากให้เขาปรับตัวกับทุกสถานการณ์มากกว่า
ชีวิตของประเทศใช่ไหมคะ โอ้โห...ขอพร 1 ข้อเหรอ ตายแล้วยากจังเลย (นิ่งคิด) เอาแบบสรุปง่ายๆ อิ๊งค์ขอให้ได้มีการเลือกตั้งค่ะ มันคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของประเทศ มันคือความหวังของประเทศ ขอให้ได้มีการเลือกตั้ง ขอให้คนไทยได้ออกมาใช้สิทธิของตัวเองเสียที มันจำเป็นมากๆ ค่ะ ที่พี่น้องประชาชนต้องได้เลือกตั้ง เพราะประชาธิปไตย หัวใจก็คือประชาชน
ภาพ - ปฏิภัทร จันทร์ทอง , ฉัทดนัย ทิพยวรรณ์ , ณปกรณ์ ชื่นตา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง