กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วย อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค , พงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรค ลงพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แจกหน้ากากอนามัยพร้อมแผ่นพับสนับสนุนการผลักดันร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่เครือข่ายอากาศสะอาดเสนอ
กรณ์ กล่าวว่า พรรคกล้าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยเดือดร้อนกันทั่วประเทศไม่เว้นคนกรุงเทพมหานคร และมองว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมาย เพื่อยืนยันสิทธิ์ประชาชนคนไทยทุกคนที่จะได้รับอากาศบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับหลายประเทศที่มีกฎหมายลักษณะนี้ แต่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับสิ่งที่เกิดขึ้น การทำงานของหน่วยงานราชการต่างๆ ไม่สอดคล้องกัน ไม่มี Data ไม่มีข้อมูลที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน จึงทำให้ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข ที่ผ่านมาหลายปีมีการประกาศเป็นวาระแห่งชาติหลายปีซ้ำซ้อนกัน แต่ก็ไม่มีผล
“พวกเราพรรคกล้า เราได้ลงนามสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ของภาคประชาชน แต่พบว่ายังไม่มีผู้สนับสนุนในจำนวนที่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา รัฐบาลควรหยิบยกร่างกฎหมายของภาคประชาชนที่ร่างไว้เกือบสมบูรณ์แล้ว นำไปเป็นร่างกฎหมายของรัฐบาลและเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ หากทำเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดจะดำเนินการได้โดยเร็ว เพื่อจะยืนยันว่าประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะมีกฎหมายยืนยันสิทธิ์ของประชาชนที่จะมีอากาศบริสุทธิ์” กรณ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคกล้า ยังกล่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด–19 และแนวทางการเยียวยาของรัฐบาล ว่า ประชาชนต้องการทราบความชัดเจนเกี่ยวกับการรับสิทธิ์ฉีดวัคซีน ซึ่งเบื้องต้นรัฐบาลก็มีการเตรียมการไว้ดีพอสมควร และวางเป้าหมายฉีดวัคซีนครอบคลุมคนไทยอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของประเทศ แต่สิ่งที่ทุกคนรอคอยและเดือนร้อนมากคือเรื่องปากท้อง ซึ่งมาตรการเยียวยาของรัฐบาลที่ออกมาจ่าย 3,500 บาท 2 เดือน ใช้เงินประมาณ 200,000 ล้านบาท เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแต่ไม่เพียงพอ เพราะวงเงินที่รัฐบาลซึ่งพรรคกล้าพูดตั้งแต่ต้นปี ว่ารัฐบาลมีเงินไว้แก้ปัญหานี้โดยเฉพาะอย่างน้อยถึง 600,000 ล้านบาท
กรณ์ กล่าวว่า พรรคกล้าจึงนำเสนอ 2 วิธีการ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ถูกมองข้ามไปคือ 1.คืนภาษีให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก SME โดยวัดจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายปีนี้ เทียบกับปีก่อนเผชิญโควิด และกำหนดเกณฑ์ให้รัฐชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปโดยตรง 2.ยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ช่วยกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยแต่ยังเสียภาษีอยู่ คือมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 40,000 บาท มีอัตราภาษีเงินได้ส่วนบุคคลอยู่ที่ร้อยละ 10 หรือน้อยกว่า เพื่อให้มีเงินไปดูแลชีวิตครอบครัวได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้ประมาณ 3 ล้านคน เป็นวงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมีเงินเหลือเฟือเพียงพอที่จะช่วยเยียวยาคนกลุ่มนี้
“รัฐบาลต้องเร่งใช้งบประมาณส่วนที่เหลือนี้ ช่วยเหลือประชาชนในช่วงก่อนจะเข้าถึงการฉีดวัคซีน เขาต้องอยู่รอด ไม่เช่นนั้น เมื่อคนไทยทุกคนได้รับวัคซีน กลับไปสู่วิถีชีวิตที่มีความเป็นปกติมากขึ้น แต่ว่าธุรกิจตายหมดแล้ว ประชาชนทั่วไปหนี้ท่วมหัว ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เศรษฐกิจมันก็ไม่ฟื้น เพราะฉะนั้นช่วงนี้ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการขนาดเล็ก ให้เขาอยู่ได้ จนกระทั่งคนไทยได้รับวัคซีนแล้วกลับไปใช้ชีวิต” กรณ์ กล่าว
อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครยืนยันค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวสุดสาย 104 บาทว่า พรรคกล้า ยืนยันว่าค่าโดยสาร 104 บาท ไม่ใช่ตัวเลขที่เหมาะสม เพราะโจทย์หลักจะต้องทำให้ค่าโดยสารเหมาะสมกับค่าครองชีพเท่านั้น การที่รัฐสนับสนุนเอกชนให้สามารถเดินรถได้และมีส่วนต่อขยาย ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กรณีโครงสร้างสัญญาของบีทีเอสมีความผิดปกติ ขออย่าเพิ่งขยายสัมปทานไปถึงปี 2602
อรรถวิชช์ กล่าวว่า เรื่องนี้อย่าเอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน แต่ควรเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง กำหนดราคาที่ไม่แพง ส่วนต่างให้รัฐสนับสนุนได้ เรื่องมีว่ารัฐให้สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายแรกในส่วนที่เป็นไข่แดง เป็นสัมปทานโดยตรงให้เอกชน แต่ส่วนต่อขยายใช้เงินหลวงเงินประชาชนสร้างราง แล้วจ้างเอกชนเดินรถ เท่ากับว่าเอกชนมีแต่กำไร เพราะขนคนเข้าไปใช้บริการในส่วนที่ได้สัมปทาน และยังมีรายได้จากที่รัฐจ้างเดินรถในส่วนต่อขยาย ถือเป็นกำไร 2 เด้ง ซึ่งวิธีคิดนี้ไม่ควรอยู่ไปถึงปี 2602 แต่ควรจบสัมปทานไปก่อนแล้วทบทวนรูปแบบใหม่ รัฐสามารถช่วยได้จนกว่าถึงจุดคุ้มทุนให้เอกชนอยู่รอดได้ แต่ข้อตกลงปัจจุบันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ซึ่งดีในช่วงต้นเท่านั้น แต่ไม่ดีสำหรับ 30 ปี ข้างหน้า
“กรุงเทพมหานคร ห้ามแกล้งโง่ในประเด็นนี้ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง อย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน ฝากด้วยครับ ค่าโดยสารบีทีเอสจะต้องเหมาะสมกับค่าครองชีพเท่านั้น 104 บาท ราคาที่ท่านผู้ว่าฯอัศวินพูด ไม่เหมาะสมครับ” อรรถวิชช์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :