นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35 และอดีตกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงการปรับครม.ว่า การปรับครม.ครั้งนี้ไร้ประโยชน์ แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พยายามทาบทามบุคคลที่มีความสามารถมาช่วยบริหารเศรษฐกิจ แต่ปรากฏชัดเจนแล้วว่าคนที่มีฝีมือไม่ยอมเข้ามาร่วมงานด้วย ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยและทั่วโลกต้องเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด-19 จึงเป็นความเสี่ยงอย่างหนักต่อประชาชน สาเหตุที่ไม่สามารถหาคนดีได้นั้นเกิดจากตัวของพล.อ.ประยุทธ์ เอง ไม่ได้ปฏิรูปประเทศและสร้างความปรองดอง เน้นบทบาทเป็นนักการเมืองที่อาศัยการสร้างกติกาความได้เปรียบคู่ต่อสู้เป็นหลัก และเน้นการบริหารเศรษฐกิจที่สร้างโครงการใหญ่เพื่อรับใช้นายทุน แทนที่จะเปิดพื้นที่ให้ธุรกิจขนาดเล็กอยู่ได้ ทำให้ไม่เกิดการกระจายรายได้ประชาชนจึงไม่สามารถยืนบนขาของตนเองคอยแต่รอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นคราวๆ
นายอดุลย์ กล่าวว่า ที่เสียความรู้สึกก็คือพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่ายังไม่ได้คิดยังไม่เห็นเรื่องข้อเสนอเรื่องการนิรโทษเพื่อสร้างความปรองดอง ทั้งที่คณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สปช.ได้เสนอรายการการศึกษาในทุกมิติไปให้นายกรัฐมนตรีทั้งหมดแล้ว แต่กลับเก็บเข้าไว้ในลิ้นชัก เพื่อแบ่งแยกแล้วปกครอง กดหัวทุกฝ่ายไว้เพื่อให้ตัวเองได้สืบทอดอำนาจ ถือเป็นการ"หักหลัง"คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง รวมทั้งประชาชนทั้งประเทศอย่างเจ็บปวดที่สุด ในขณะที่ญาติวีรชนพฤษภา'35ก็ช่วยประคับประคองสถานการณ์บ้านเมืองให้ทุกฝ่ายมีความสามัคคี เพื่อให้ชาติบ้านเมืองเดินไปได้ แต่วันนี้ต้องบอกตรงๆว่าสิ้นหวังกับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว
“ในเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ หักหลังประชาชน และล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง จึงไม่สามารถรวมน้ำใจคนไทยเพื่อสร้างชาติได้ จึงเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก เพื่อเปิดทางให้มีบุคคลอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทนโดยจัดตั้ง"รัฐบาลช่วยชาติ" ตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ ด้วยการดึงผู้มีความรู้ความสามารถ และผู้เชี่ยวชาญจากทุกพรรคการเมือง และทุกภาคส่วนมาช่วยบริหารประเทศให้ฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ แล้วปฏิรูปประเทศทุกด้าน ปรับโครงสร้างรองรับสถานการณ์ใหม่ นิรโทษกรรมคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง เพื่อให้คนในชาติเลิกเกลียดชังกัน สามัคคีกลมเกลียวกัน แล้วแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แนวทางนี้เท่านั้นที่จะรวมไทยสร้างชาติได้ แต่หากพล.อ.ประยุทธ์ยังดันทุรังซื้อเวลาไปอีกก็หมดเวลาที่แกนนำทุกเสื้อสีจะรอคอยความหวัง และต้องลุกขึ้นมาร่วมกันจัดการปัญหากันเอง"นายอดุลย์ กล่าว
นายอดุลย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาเยาวชนปลดแอกด้วย ว่า เห็นด้วยกับขบวนนักศึกษาที่เคลื่อนไหวด้านการเมือง เพราะการเมืองจะเคลื่อนไปอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ที่อายุถึงสิทธิเลือกตั้งมากขึ้นทุกปี จึงเป็นนิมิตหมายดีที่คนรุ่นใหม่มีการตื่นรู้ทางการเมือง โดยเฉพาะในขณะนี้เกิดวิกฤติไวรัสโควิดระบาดจะมีคนตกงานอีกมหาศาล นักศึกษาก็ตกเป็นเหยื่อด้วย ในเมื่อเขามองไม่เห็นอนาคตของตนเองและอนาคตบ้านเมือง จึงเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่สะท้อนความต้องการให้รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องได้รับรู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของพวกเขา แต่ขอเตือนลูกๆหลานๆด้วยความห่วงใยให้ระวังผู้ไม่หวังดีแปลกปลอมเข้ามาชูประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแกนนำนักศึกษาต้องบริหารจัดการชุมชุมให้เรียบร้อย พร้อมทั้งแสดงจุดยืนให้ชัดเจน และขอเตือนฝ่ายความมั่นคงด้วยว่าอย่าใช้กำลังในการจัดการกับผู้ชุมนุม หากเลือดตกยางออกรอบนี้จะเกิดวิกฤติที่ไม่มีใครควบคุมสถานการณ์ได้
“เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 ก.ค.นี้ ปวงชนชาวไทยควรถือเป็นวาระสำคัญ เพื่อสามัคคีปรองดอง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันหาทางออกให้แก่ประเทศ ส่วนใครที่จาบจ้วงสถาบัน ก็ขอร้องอย่าทำอย่างนั้นเลย บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว พวกเราอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร มาตลอด และทำให้ประเทศชาติรอดพ้นวิกฤติมาได้ทุกครั้ง ด้วยพระบารมีของทุกพระองค์จะทำให้บ้านเมืองสงบร่มเย็นได้ ”นายอดุลย์ กล่าว