ไม่พบผลการค้นหา
"ผู้กองมาร์ค" จี้ "พล.อ.ประยุทธ์" ถึงเวลาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ก่อนประเทศไทยจะลำบากไปกว่านี้ ชี้ถึงเวลาปรับคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจได้แล้ว

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช หรือ ผู้กองมาร์ค กรรมการกิจการพิเศษ และหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ออกมาประกาศ คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ว่าจะติดลบร้อยละ 5.5 และ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ได้ออกประกาศว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปีนี้จะติดลบถึงร้อยละ 9 ซึ่งเป็นตัวเลขติดลบที่สูงสุดที่สุดในรอบ 20 ปี

นอกจากภาวะเงินฝืดแล้ว ประชาชนยังไม่มีเงินจะจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรที่จะปรับคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจด่วน ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยต้องพึงระวัง ในเรื่องของการตกต่ำทางเศรษฐกิจ (Economic Recession) ซึ่งหากปล่อยให้เกิดการภาวะ Economic Recession อย่างต่อเนื่อง จนถึงภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำจนถึงขั้นสุด จะส่งผลให้การแก้ไขฟื้นฟูให้กลับมาสู่ สภาวะปกตินั้นจะทำได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลไม่สามารถทำได้ ซึ่งหากสถานการณ์เป็นเช่นที่กล่าวมาแล้วประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างไร

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า จากสถิติของ ครม.เศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ มีการประชุมกันเพียงแค่เดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งในสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ รัฐบาลควรจัดให้มีการประชุมกันอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างทันสมัยและเหมาะสมทันท่วงทีต่อเหตุการณ์ และในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ควรเปลี่ยนเฉพาะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะมีการปรับทั้งครม.ด้านเศรษฐกิจ ถึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด

โดยต้องพิจารณาให้มีการเปลี่ยนในหลายส่วนเพื่อเอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่องสัมพันธ์และทันท่วงที อาทิเช่น รมว.พาณิชย์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา, รมว.อุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม, รมว.เกษตรและสหกรณ์, รมว.คมนาคม รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, รมว.พลังงาน, รมว.มหาดไทย, รมว.แรงงาน, รมว.อุตสาหกรรม และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อมั่นว่าตนเองมีความเป็นผู้นำสูง ก็ควรที่จะมีการจัดหาผู้จัดการที่มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหา เพื่อบริหารจัดการให้เกิดผลกระทบด้านลบให้น้อยที่สุด และหาแนวทางในการสร้างกำไรจากทรัพยากรที่มีอยู่ให้มากที่สุด เพราะทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสแทรกอยู่เสมอ