พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ปราศรัยใหญ่ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา 17.00 น. โดยมีประชาชนมาร่วมฟังการปราศรัยแน่นบริเวณลานคนเมือง โดยแกนนำพรรคต่างผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาปราศรัยบนเวที อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานเศรษฐกิจ เป็นต้น

นายจาตุรนต์ ปราศรัยว่า การปราศรัยครั้งนี้จะเป็นการสื่อสารถึงประชาชนทั่วประเทศที่กำหนดอะไรไม่ได้เลยมาห้าปีให้กำหนดอนาคตของตัวเองในการเลือกตั้งที่จะมาถึง เพราะที่ผ่านมาตนไปลงพื้นที่พบประชาชนทั่วประเทศ มีแต่คนบอกว่าจะอดตายอยู่แล้ว เศรษฐกิจไม่ดี ชาวนาเป็นหนี้มากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตช้าที่สุดในอาเซียน ยกเว้นบรูไน การส่งออกน้อยลงจนติดลบ การลงทุนน้อย การท่องเที่ยวที่ทำท่าจะดี แต่ต้องมาเสียเพราะคำพูดของรองนายกรัฐมนตรี สมัยพรรคไทยรักไทยการส่งออก 15-20% แต่ปัจจุบันประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำแย่เป็นอันดับ 1 ของโลก ที่ผ่านมางบประมาณสาธารณสุขไม่เคยพอ งบประมาณกระทรวงการศึกษาธิการน้อยลงเรื่อยๆ

แต่งบกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอบอกจะตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหม เขาบอกให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน ใครกันแน่ที่ควรจะฟังเพลงหนักแผ่นดิน ยืนยัน ทษช. ไม่ได้เป็นศัตรูกับทหาร ทหารลูกหลานประชาชนรักษาความมั่นคงประเทศ แต่ถ้างบฯ กระทรวงกลาโหมมากต่อเนื่อง กระทรวงศึกษาลดน้อยลง ชีวิตความเป็นอยู่เกษตรกรน้อยลง ก็ต้องปรับปรุง 

นายจาตุรนต์ ระบุด้วยว่า ถ้า ทษช.เป็นรัฐบาล มี รมว.กลาโหม ถ้าไม่ปรับลดงบฯ ก็ไม่เซ็นต์เข้า ครม. ถ้า ผบ.ทบ.มีปัญหา รมว.กลาโหมจะสั่งสอบวินัย ผบ.ทบ. ทั้งนี้ ทษช. มาชวนประชาชนกำหนดอนาคตประเทศไทย การส่งออกรัฐบาล คสช. เจรจากับต่างประเทศไม่ได้ เพราะมาจากการยึดอำนาจ อีกทั้ง ทูตหลายประเทศบอกกับตนอยากเจรจาด้วยแต่อยากให้มีรัฐบาลเลือกตั้ง หากเป็น พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯอีก ต่างประเทศก็บอกไม่เอา

กรณีรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่รัฐบาลยกเว้นกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง และยกกรรมสิทธิ์ให้บริษัทสัญชาติจีน ย่อมสร้างความเสียหายให้กับประเทศในอนาคต เช่นเดียวกับการสร้างรถไฟฟ้าเชื่อมสนามบิน ทั้งที่ประเมินแล้วจะไม่มีผู้โดยสารมากนัก แต่เปิดประมูลและเวนคืนที่ดินมูลค่าหลายแสนล้าน พอสืบข้อมูลลึกลงไปก็เป็นของกลุ่มนายทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลทั้งนั้น บริษัทต่างชาติเข้ามาแข่งขันก็ต้องแพ้เพราะมีการฮั้ว อนาคตก็ไม่มีใครมาลงทุนประมูลงานในประเทศ แม้กระทั่งร้านธงฟ้าที่สุดท้ายแล้วก็มีเพียง 20 บริษัทที่มาจากกลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่กลุ่มเช่นกัน ถือว่าเป็นการแจกเงินเจ้าสัวผ่านมือคนจน ไม่ได้ช่วยประชาชนอย่างแท้จริง

นายจาตุรนต์ ยืนยันว่า คสช. ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ เพราะเป็นผู้สร้างเงื่อนไขเหล่านี้ไว้เอง ทษช. จะแก้ไขกติกาที่ คสช. สร้างไว้และพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชนมีธุรกิจใหม่ มีรายได้ใหม่ ดูแลเกษตรกรให้มีชีวิตที่ดีอย่างครบวงจรต่อยอดนโยบายจากพรรคไทยรักไทย เช่น โอท็อป 30 บาทรักษาทุกโรค และเอสเอ็มอี พร้อมย้ำว่า คสช. บริหารประเทศมา 5 ปีแล้วแต่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อก็ย่อมไม่มีอะไรดีขึ้น ดังนั้นรัฐบาลที่จะแก้ได้ต้องมาจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย 

สับตั้ง 'ประวิตร' สรรหา ส.ว. - หาเสียงใช้งบฯแผ่นดิน

นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคแรกที่ประกาศนโยบายกับประชาชนแล้วทำจริงทุกเรื่อง และไม่ต้องนำไปเปรียบเทียบกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐเพราะถ้าหากแก้ไขปัญหาได้ผลก็คงทำไป 5 ปีที่แล้ว ปัญหาเศรษฐกิจของประชาชน ทษช. มีทางแก้ แต่มีคนมาขวางทางไม่ต้องการให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยตั้งรัฐบาล เพราะต้องการให้สืบทอดอำนาจ คสช. 

ทั้งที่ในรัฐธรรมนูญมีกติกาป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองได้เสียงข้างมาก รวมทั้งมี ส.ว. 250 คนที่เข้ามาเลือกนายกรัฐมนตรีซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวจะมี ส.ว. 250 คนเท่ากับเสียงของคนครึ่งประเทศ และกลับให้คนที่สูญเสียความเชื่อมั่นจากประเทศเป็นประธานคณะกรรมการสรรหา ส.ว. คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แถมยังตั้งพรรคที่ใช้ชื่อเดียวกับโครงการที่แจกเงินช่วงใกล้เลือกตั้ง แถมยังหาเสียงด้วยการสัญญาว่าจะแจกบัตรคนจน เหมือนซื้อเสียงโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน เงินเป็นหมื่นล้านที่เอามาจากภาษีของคนทั่วประเทศ คนกรุงเทพฯ คนในที่นี้ มาหาเสียงให้กับพรรคเดียว 

นอกจากนี้รัฐบาล คสช. ยังไม่อยู่ในสถานะรัฐบาล ไม่มีสิทธิ์ไม่โยงย้ายข้าราชการ ไม่อนุมัติงบประมาณ และไม่อนุมัติงบประมาณผูกพันธ์โดยไม่หารือ กกต. แถมคนที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐยังมีอำนาจพิเศษเหนือทุกองค์กร รวมทั้งศาล เคยสั่งปลด กกต. แทรกแซงการแต่งตั้ง ป.ป.ช. เอาคนหน้าห้องตนเองมาเป็นประธานเพื่อให้เป็นพวกคอยช่วยเหลือกัน เท่ากับว่าองค์กรอิสระในประเทศนี้ไม่มีแล้ว องค์กรอิสระไม่อิสระจาก คสช. แต่อิสระประชาชน

จวก 'วิษณุ' พิทักษ์ 'ประยุทธ์' ไม่ใช่ จนท.รัฐ แต่ใช้อำนาจสั่งระงับธุรกรรมได้

นายจาตุรนต์ เห็นว่า การที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ขาดคุณสมบัตินายกฯ แต่สั่งเจ้าหน้าที่มาจัดการคนที่วิจารณ์ คสช. พร้อมระงับธุรกรรมทางการเงินของตนด้วย ทำอย่างนี้ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กล้าดีเบต เพราะไม่รู้ว่าจะดีเบตด้วยนโยบายตัวเอง หรือนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ หรืออาจจะไม่ต้องการผูกพันกับพรรคไหนเพราะต้องการรักษาสถานะนายกคนนอก 

นายจาตุรนต์ ยังวิจารณ์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ว่ากฎหมายที่จะปกครองประเทศนี้ไปยาวนานอีก 20 ปีเขียนด้วยคนหยิบมือเดียว และมีอายุมาก แม้ว่าจะเปิดช่องให้แก้ได้ทุก 5 ปี และแต่ต้องผ่านความเห็นของ ส.ว. ซึ่งเป็นไปได้ยาก พร้อมเรียกร้องให้เลือกพรรคการเมืองไปตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

"หากประชาชนจะไม่เอารัฐบาล คสช. ต้องชนะท่วมท้มเท่านั้นฝ่ายประชาธิปไตย การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการตัดสินว่าจะให้ระบอบ คสช. ปกครองประเทศต่อไปอีก 20 ปีหรือไม่ ถ้าไม่ให้ต้องส่งเสียงว่าไม่เอา" นายจาตุรนต์ ระบุ

นายจาตุรนต์ ย้ำวา เรามาอยู่ ทษช. เพื่อแก้กับดักรัฐธรรมนูญ พรรคที่เป็นตัวชี้ขาดฝ่ายประชาธิปไตย คือ ทษช. เราจะเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะฝ่ายประชาธิปไตย 

'ณัฐวุฒิ' ชี้เลือกตั้งทำลายพิธีกรรมสืบทอดอำนาจ คสช.

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปราศรัยในหัวข้อ ‘Disrupt เผด็จการ’ ตอนหนึ่งว่า ตนฟันธงว่าในวันที่ 24 มี.ค. ประชาชนรู้เช่นเห็นชาติ เข็ดกับเผด็จการ ไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐ แต่จะเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งนี้นายกฯ จะใช้มาตรา 44 ได้จนถึงหลังการเลือกตั้ง กลัวว่าถ้าบางพรรคแพ้เลือกตั้งมากๆ เกรงว่าจะมีการใช้มาตรา 44 ยกเลิกการเลือกตั้ง 

"การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งธรรมดา แต่เป็นแผนรวมร่างปีศาจสืบทอดอำนาจ ลำตัว คือ คสช. มือข้างหนึ่งเป็นพลังประชารัฐ อีกข้าง ส.ว. 250 เสียง และองค์กรอิสระ เท้าข้างหนึ่งเป็นพรรคประชาธิปัตย์ และอีกเท้าเป็นพรรคนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ร่างปีศาจในการสืบทอดอำนาจได้เกือบครบทั้งตัวแล้ว เหลือเพียงส่วนหัวที่ต้องทำพิธีกรรมส่วน ซึ่งพิธีกรรมของเขาคือการเลือกตั้ง ดังนั้นวันที่ 24 มี.ค. คือการทำลายพิธีกรรมสืบทอดอำนาจ โดยการเลือกพรรคไทยรักษาชาติ ทั้งนี้เราตั้งพรรคไทยรักษาชาติเพื่อนำคนกลับบ้าน คือ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร คสช. ส่งกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน" นายณัฐวุฒิ ระบุ

ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องกับบ้านไปด้วย ทั้งนี้เราจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจเผด็จการ ประกาศให้พ.อ.ประยุทธ์ และพวกรู้ว่าวันที่ 24 มี.ค. คือวันสุดท้ายที่ต้องออกไป

เผยดันลดน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร

ขณะที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ กล่าวว่า นโยบายด้านพลังงาน ถ้า ทษช.ได้เป็นรัฐบาลอย่างแรกที่เราจะเสนอ คือลดมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร และเบนซิน 3 บาทต่อลิตรเป็นการลดค้าใช้จ่ายเบื้องต้น โลกเปลี่ยนไปแล้วเทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน โลกเริ่มเปลี่ยนถ้ารัฐบาลยังอยู่ในกะลา เราจะตกยุคเร็วมาก ฉะนั้น ทษช.คิดว่าเราจะทำอย่างไรให้คนไทยทุกระดับชั้นกล่าวทันโลก เราเสียโอกาสมากประเทศอื่น เวียดนาม อินโดนีเชีย เขามีบริษัทเทคโนโลยีมีมูลค่าแสนๆล้าน แต่ประเทศไทยไม่มีเพราะ 5 ปีที่ผ่านเราถูกกดขี่ วิจารณ์ไม่

นอกจากนี้ยังมีการเปิดนโยบายกรุงเทพมหานคร โดยนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กล่าวว่า นโยบาย 4R เพื่อพัฒนากรุงเทพมหานคร ได้แก่ Reserve อนุรักษ์สถานที่สำคัญ และวิถีชีวิตของประชาชน, Rehabitation ฟื้นฟูเมือง เช่น ทางเท้า สายไฟ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต, Redevelopment พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนเพื่อการสัญจรที่สะดวกสบายและน่าอยู่, Revivification คืนจิตวิญญาณความเป็นเมืองให้กับกรุงเทพเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

ด้านนายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันระบบขนส่งมวลชนมีการต่อส่วนขยายหลายสายแต่มีการเก็บค่าโดยสารแพงขึ้นเรื่อยๆแพงกว่าค่าครองชีพทั้งที่จริงแล้วการขยายส่วนต่อนั้นค่าโดยสารต้องลดลง นอกจากนี้ รถไฟรางคู่ปัจจุบันยังขาดบุคลากร ตู้รถไฟ และหัวรถจักร ถ้า ทษช.เขามาจะจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆให้ครบถ้วนไม่ใช่ทำรถไฟทางคู่แล้วเกิดคำถามว่าทำเพื่อประโยชน์ของใคร 

ขณะเดียวกันมีการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. 10 เขต กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล ผู้สมัครเขต 2 (ปทุมวัน บางรัก สาธร) หมายเลข 10, นายพงษ์พิสุทธิ์ จินตโสภณ ผู้สมัครเขต 3 (บางคอแหลม ยานนาวา) หมายเลข 1, นายนวธันย์ ธวัชวงศ์เดชากุล เขต 4 (คลองเตย วัฒนา)หมายเลข 14, นางสาวขัตติยา ไชยโย เขต 11 (สายไหม) หมายเลข 23, นายธนกร เลาหพงศ์ชนะ เขต 20 (สวนหลวง ประเวศ) หมายเลข 7, นายกวีวงศ์ อยู่วิจิตร เขต 21 (บางนา พระโขนง) หมายเลข 12, นางสราริน ชาลีวรรณ เขต 22 (คลองสาน บางกอกใหญ่ ธนบุรี) หมายเลข 10, นางสาวนพสรัญ วรรณศิริกุล เขต 24 (ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ) หมายเลข 13, นางสาวกมลพัฒน์ ปุงบางกระดี่ เขต 25 (บางขุนเทียน) หมายเลข 10, และนายศรุท เกษมณีภูรเดช เขต 28 (บางแค) หมายเลข 23