ไม่พบผลการค้นหา
คำนูณ สิทธิสมาน เผยเคยหารือถึงความไม่เหมาะสมในการสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.7 ขนาด 4 เท่าองค์จริง ซึ่งใช้งบฯ 25 ล้านบาท แต่กรมศิลปากรยืนยันว่าจะสร้างตามแผน ล่าสุดใช้งบฯ แล้ว 7.7 ล้านบาท เพื่อเตรียมสร้าง แต่สุดท้ายต้องชลอโครงการเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน

เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'วุฒิสภา' ได้เผยแพร่ข้อเขียนของ คำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดสร้างสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ในหลวงรัชกาลที่ 7 องค์ใหม่ขนาดใหญ่ 4 เท่าพระองค์จริงมาประดิษฐานหน้าอาคารรัฐสภาแห่งใหม่

คำนูณ ระบุว่า ตน และเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เคยหารือในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2563 ถึงความไม่เหมาะสมของแนวคิดในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ในหลวงรัชกาลที่ 7 องค์ใหม่ขนาดใหญ่ 4 เท่าพระองค์จริงมาประดิษฐานหน้าอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เกียกกาย ที่ขณะนั้นทราบข่าวเพียงว่า เป็นไปตามข้อเสนอของกรมศิลปากร แทนที่จะใช้องค์เดิมขนาด 1 เท่าครึ่งพระองค์จริงที่เคยประดิษฐานอยู่หน้าอาคารรัฐสภาเดิม ถนนอู่ทองใน ตามแนวคิดของคณะผู้ออกแบบและสภา

เขาย้ำว่า ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมไปแล้วด้วย แต่ยังไม่ถึงคิวบรรจุเข้าระเบียบวาระ และได้เสนอให้คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปและวัฒนธรรม วุฒิสภา ดำเนินการศึกษาเรื่องนี้ โดยเขาเข้าไปร่วมประชุมชี้แจงครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปลายปีก่อน ล่าสุดวานนี้คณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาร่วมชี้แจง

คำนูณสรุปการประชุมในครั้งล่าสุด พร้อมอธิบายถึงที่มาในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ดังกล่าวว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2561 เมื่อสภาทำหนังสือถึงกรมศิลปากรขอทราบแนวทางและรายละเอียดเกี่ยวกับการย้ายพระบรมราชานุสาวรีย์องค์เดิมจากหน้าอาคารรัฐสภาเก่าถนนอู่ทองไปยังอาคารรัฐสภาใหม่เกียกกาย

ในฐานะที่กรมศิลปากรมีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการนี้ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ. 2520

กรมศิลปากรส่งทีมงานเจ้าหน้าที่เดินทางมาพิจารณาสถานที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ เพื่อเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ จากนั้นทำหนังสือถึงสภาเมื่อเดือน พ.ย. 2561 แจ้งว่าเห็นควรให้อัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์องค์เดิมขนาดเท่าครึ่งพระองค์จริงเข้าไปประดิษฐานภายในอาคาร และให้จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์องค์ใหม่ขนาด 3 เท่าครึ่งถึง 4 เท่าพระองค์จริงเพื่อประดิษฐานหน้าอาคารด้านถนนสามเสนแทน สรุปว่าถ้าทำตามนี้รัฐสภาจะมีพระบรมราชานุสาวรีย์ 2 องค์ 2 ขนาด

ในชั้นแรก สภาไม่เห็นด้วยเพราะมีความประสงค์จะนำพระบรมราชานุสาวรีย์องค์เดิมที่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์มาประดิษฐานหน้าอาคารตามแบบที่กำหนดไว้ ในเดือนเดียวกันนั้นเองสภาได้ทำหนังสือถึงกรมศิลปากรขอให้ทบทวนมติ

กรมศิลปากรตอบหนังสือกลับมายังสภาเมื่อปลายเดือน ม.ค.2562 ว่าพิจารณาแล้ว ขอยืนยันมติเดิม คือให้อัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์องค์เดิมเข้าในอาคาร และถ้าประสงค์จะมีพระบรมราชานุสาวรีย์หน้าอาคาร ควรดำเนินการตามมติเดิมคือสร้างองค์ใหม่ขนาด 3 เท่าครึ่งถึง 4 เท่าพระองค์จริง สภาจึงต้องปฏิบัติตาม เพราะอำนาจตามกฎหมายลำดับระเบียบฯ ดังกล่าวข้างต้นแล้วอยู่กับกรมศิลปากร

สภาเริ่มตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ 2563 ไว้เบื้องต้น 10 ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขนาด 3 เท่าครึ่งถึง 4 เท่าพระองค์จริง กรมศิลปากรแจ้งให้สภาทราบเมื่อเดือน ก.พ. 2563 ว่ามีจำนวน 25,369,840 บาท

สภาได้แยกของบประมาณไว้ 3 ปีงบประมาณ คือ 2563, 2564 และ 2565

ขณะนี้กรมศิลปากรได้ดำเนินการขั้นต้นไปแล้ว คือปั้นขยายต้นแบบพระบรมราชานุสาวรีย์ กล่าวโดยละเอียดคือถอดแบบพระบรมราชานุสาวรีย์พระองค์เดิมแล้วหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์ เพื่อทำ section ขนาดต้นแบบเดิมเพื่อขยายเข้า scale ก่อนที่จะทำโครงสร้างเหล็ก ใช้เงินไป 7,700,000 บาท

"ในการประชุมกรรมาธิการฯ ผมได้ถามกรมศิลปากรด้วยสามัญสำนึกของวิญญูชนชาวไทยทั่วไปว่าในเมื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ คือสร้างใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเช่นนี้ ก่อนที่จะเดินหน้าลงมือทำงานควรที่จะต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อนหรือไม่ คำตอบคือยังไม่ได้ทำเรื่อง แต่กำลังเตรียมการจะทำเรื่อง โดยก่อนที่จะทำเรื่องจำเป็นต้องมีข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน และยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่ดำเนินการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์องค์ใหม่ เพียงแค่ถอดแบบจากองค์เก่าก่อนเท่านั้น ผมตอบไปว่าที่กรมศิลปากรตอบอย่างนี้ผมไม่สู้เห็นด้วยนะ เพราะการถอดแบบองค์เก่าก็คือส่วนหนึ่งของการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์องค์ใหม่นั่นแหละ" คำนูณ ระบุ

เขาให้ความเห็นในข้อเขียนดังกล่าวต่อว่า กรมศิลปากร ได้ใช้เงินไปแล้ว และเริ่มดำเนินการไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ขณะที่ฝ่ายการเมืองคือ ระดับรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีก็ยังไม่ได้พิจารณา ในกรณีนี้หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีคำตอบในห้องประชุมกรรมาธิการ

สำหรับสถานการณ์ล่าสุด กรมศิลปากรได้ทำหนังสือถึงสภาเมื่อ 26 พ.ย. 2563 ขอชะลอการทำงานไว้ก่อน เมื่อเขาถามว่าทำจึงต้องชลอ กรมศิลปากรค้นเอกสารอยู่พักใหญ่ก่อนจะตอบว่ารอการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน

คำนูณ ย้ำในตอนท้ายด้วยว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ คณะกรรมาธิการจะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมมาหารือในโอกาสต่อไป หากมีความคืบหน้าประการใดจะนำมารายงานต่อ