เวลา 18.30 น. วันที่ 31 ส.ค. 2564ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้องค์กรตำรวจเปลี่ยนจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กลายเป็นทรราช ให้ตำรวจกลายเป็นกลไกในการปราบปรามประชาชน เพื่อรับใช้ระบบปรสิทธิ์ที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากเจ้าของประเทศ ฉวยโอกาสสถานการณ์โควิด-19 ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกว่า 16 เดือนแล้ว นอกจากนี้ยังอ้างเรื่องขบวนเสด็จฯ ยกระดับจากสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
“ตั้งแต่ผมเกษียณอายุจากตำรวจมา 7 ปีแล้ว ผมไม่เคยเห็นภาพประชาชนโกรธแค้นตำรวจอย่างกว้างขวางแบบนี้มาก่อน ถึงขนาดพระประกาศไม่เผาผีให้ตำรวจแล้ว พ่อค้าแม่ค้าไม่ยอมขายของให้ตำรวจ ส่วนตำรวจบางหน่วยประกาศงดแต่งเครื่องแบบออกจากบ้าน ซึ่งผมเคยเห็นภาพอัปยศแบบนี้หลังเหตุการณ์ พ.ค.ปี 2535 ตอนนั้นผมเป็น ผบ.ร้อย ควบคุมฝูงชน อยู่ที่สะพานผ่านฟ้าฯ ผมไม่เคยคิดว่าภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นกับองค์กรที่ผมรัก มันเป็นผลจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามากำกับองค์กรตำรวจเพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง”
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ยุทธวิธีการควบคุมฝูงชนของตำรวจ ไม่ใช่การควบคุมการชุมนุม แต่เป็นการคุกคามประชาชน มองเห็นประชาชนเป็นอริราชศัตรู ซึ่งจะยิ่งทำให้ประชาชนโกรธแค้น จนเกิดแรงสะท้อนที่รุนแรงกลับมาได้
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ มักกล่าวอ้างว่าตำรวจได้ทำตามขั้นตอนหลักสากลแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงนั้น เมื่อเริ่มก่อตัวชุมนุม ก็มีคำสั่งอย่างอำมหิต ให้ตำรวจเดินหน้าปะทะกับผู้ชุมนุมทันที สาดกระสุนยางและแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมโดยไม่ยั้ง ไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชน
“มีการข้ามขั้นตอน อุปกรณ์เกิน และรุนแรงเกินกว่าเหตุ ตามขั้นตอนนั้น ต้องเริ่มที่การเจรจาให้อยู่ในขอบเขต มีโล่และกระบองเพื่อแสดงกำลังของเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่วันนี้มีเพียงการประกาศแจ้งพอเป็นพิธี และลุยทันที ส่วนอุปกรณ์เกินนั้น ตู้คอนเทนเนอร์เป็นอุปกรณ์นอกกฎหมาย เพราะไม่ได้ถูกกำหนดให้ใช้ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2558 มันไม่ใช่ความหมายตาม(32) ที่ว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับการป้องกันสถานที่ ที่เรารู้จักกันคือรั้วกำแพง แต่มันคือคอนเทนเนอร์”
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า สิ่งที่เห็นคือเจ้าหน้าที่ยิงเป็นห่าฝน ทำร้ายประชาชนไม่เลือกหน้า ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ หลายครั้งมีการเดินประจัญหน้าเพื่อยิงกราด นี่หรือที่เรียกว่าหลักสากล นอกจากนี้ ยังคนเจ้าหน้าที่ขึ้นรถกระบะไล่ล่าผู้ชุมนุม ถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่ใส่เครื่องแบบ ก็นึกว่าแก๊งค์มาเฟีย ค้ายาเสพติด
“ลูกนัท หรือ ธนัตถ์ ธนากิจอํานวย ได้ถูกยิงกระสุนแก๊สน้ำตาตรงๆเข้าเบ้าตา ส่งผลให้ดวงตาขว้างขวาของเขาบอด นำไปสู่การฟ้องร้องเอาผิดเจ้าหน้าที่ และผู้บังคับบัญชา ที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุตามหลักสากล”
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ในฐานะ ส.ส.อยากเห็นตำรวจออกมาปกป้องสิทธิและเสรีภาพรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนในระบอบประชาธิปไตย อยากเห็นสวัสดิการสวัสดิภาพ ไม่อยากเห็นตำรวจถูกบีบให้ออกมาหาลำไพ่พิเศษ เพื่อมีชีวิตที่ดี ตำรวจที่ทำดีได้ไม่มีตั๋วช้าง แต่ตำรวจยุคนี้กลับถูกนายทหารนอกแถวที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตน ทำร้ายศักดิ์ศรีของตำรวจ ปล่อยให้มีตั๋วช้างทำลายระบบคุณธรรม ปฏิรูปตำรวจแบบจอมปลอม ถูกมองว่าเป็นโจรในเครื่องแบบ เป็นศัตรูของประชาชน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง