ไม่พบผลการค้นหา
นักรัฐศาสตร์ มองหากยุบพรรคอนาคตใหม่จริง ไม่มั่นใจสถานการณ์จะเดินไปทิศทางไหน ขณะที่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ชี้การยุบพรรค เป็นภาพสะท้อนความผิดเพี้ยนของกฎหมาย และอาจทำให้ประเทศเสียโอกาส

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กลุ่มคณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ จัดงานเสวนาในหัวข้อ “สังคมไทยหลังยุบพรรคอนาคตใหม่” โดยมีนักวิชาการ นักกิจกรรมาร่วมเวที อาทิ นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริต น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรม 

ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ กล่าวว่า ถ้ายุบพรรคอนาคตใหม่ ในแง่หนึ่งจะมีความโกรธแค้นในสังคมและเกิดความสนใจการเมืองมากขึ้น แต่ในมุมกลับก็อาจมีคนไม่สนใจการเมืองอีกเลยเพราะเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องวุ่นวาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง หากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่จริง และยังคงเป็นคำถามที่ต้องขบคิดว่าการขับเคลื่อนโดยกลไกของออนไลน์จะสร้างแรงสั่นสะเทือนได้มากน้อยเพียงใด และทิศทางการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป

วีระ ชี้ยุบพรรคประเทศเสียโอกาส

นายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวทางการเมือง มองว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่จะนำไปสู่ การแสดงออกใน 2 ด้าน ในด้านของผู้ที่สนับสนุนเผด็จการ คงเกิดความสะใจ แต่ในด้านของผู้ที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ คงต้องรู้สึกเสียใจ และเสียดายในความสูญเสียโอกาส

ในทางกลับกันพรรคที่ได้อำนาจ การบริหารประเทศมาหลายปี ยังไม่มีสิ่งใดที่ดีขึ้น ยิ่งบริหารยิ่งเกิดความเสียหาย และเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่พรรคการเมืองหนึ่งกำลังถูกจ้องทำลาย อย่างไรก็ตามมองว่า หากพรรคอนาคตใหม่ยังรักษาอุดมการณ์ไว้ได้ จะมีผู้สนับสนุนให้โอกาสเข้ามาบริหารประเทศ

เสวนา “สังคมไทยหลังยุบพรรคอนาคตใหม่”

'โบว์' ติงกฎหมายบิดเบี้ยว-ใช้ไม่ได้จริง

นางสาวณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมทางการเมือง กล่าวว่า ไม่สามารถสรุปได้ว่าพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบหรือไม่ เพราะการยุบพรรคที่ผ่านมา ไม่เคยมีกฎหมายรองรับแต่ยังสามารถยุบได้

สิ่งที่เราต้องติดตาม คือกฎหมายที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง ซึ่งหากไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง เช่น การจัดโต๊ะจีนระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ บริจาคผ่านการแตกบริษัทย่อยออกไป เงินบริจาคที่รวบรวมได้สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แต่ก็ยังเกิดขึ้นและไม่สามารถเอาผิดได้ นั่นเป็นเพราะกฎหมายใช้การไม่ได้ ไม่ตอบโจทย์ในทางปฏิบัติ

หลังจากนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นควรกลับไปทบทวนดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความบิดเบี้ยวและสร้างปัญหาโดยไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคม

เสวนา “สังคมไทยหลังยุบพรรคอนาคตใหม่”

ปิยบุตร เสียดายเจอ 'การเมือง' นำกฎหมาย

ในช่วงหนึ่งของงาน นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ติดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ได้วิดีโอคอลเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับวงในประเด็นดังกล่าวด้วย โดยระบุว่า มีความมั่นใจว่าถ้าพิจารณาตามข้อกฎหมายจริงๆ ทั้งสองคดีที่อยู่ในศาลตอนนี้ไม่มีทางนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ได้ แต่การวิเคราะห์ฟันธงของทุกคนที่ว่ายุบแน่นอน ไม่ได้มาจากการประเมินทางกฎหมาย แต่เป็นเรื่องการประเมินในทางการเมืองล้วนๆ ซึ่งตนเสียดายว่าในรอบ 13 ปีที่ผ่านมา เรายังคงต้องใช้การประเมินในมิติทางการเมืองมามองเรื่องที่ควรเป็นประเด็นทางกฎหมายอยู่

นายปิยบุตร กล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้มีสองคดีที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ คือคดีอิลูมินาติที่จะมีการพิจารณาคดีในวันที่ 21 มกราคมนี้ ซึ่งเป็นการยื่นคำร้องตามมาตรา 49 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งในกรณีนี้ไม่สามารถนำไปสู่การยุบพรรคได้ ได้เพียงสั่งให้บุคคลหยุดการกระทำเท่านั้น แต่สุดท้าย กกต.ก็เลือกที่จะทำผิดขั้นตอนดังกล่าว

อีกคดีหนึ่งคือคดีเงินกู้ ซึ่งมีเอกสารหลุดออกมาชี้ให้เห็นแล้ว ว่ามีความจงใจทำผิดขั้นตอนเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ได้ ซึ่งสิ่งที่ตนต้องการจะบอก คือต่อให้สุดท้ายแล้วถ้าเขาใช้ช่องทางนี้สำเร็จในการจัดการตนและนายธนาธรได้จริง ก็จะไม่มีทางทำให้ตนและนายธนาธรหายไปจากการเมืองไทย ไม่ให้ตนและนายธนาธรพูดในสภา ก็จะเดินสายพูดทั่วประเทศ รณรงค์เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องต่อไป และไม่ทำให้พรรคอนาคตใหม่และ ส.ส.อนาคตใหม่หายไป เพราะ ส.ส.ทั้งหมดก็จะไปอยู่ที่บ้านใหม่แทน

“แต่ผลกระทบคือคุณกำลังนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดผู้เห็นต่าง ทำให้เกิดการแบ่งแยกเช่นที่เกิดขึ้นมาในอดีต ต่อมาเราจะเกิดกระบวนการตรวจสอบ/สอดส่องความคิดของคน จะมีการตัดสิทธิทางการเมืองกลุ่มคนที่ก้าวหน้า ต้องการเปลี่ยนแปลง ไม่ต่างอะไรกับการมีเกสตาโปในสมัยนาซีเยอรมนี เป็นการกีดกันคนจำนวนหนึ่งออกไปจากระบบการเมืองไทย

"ที่สำคัญ คุณกำลังทำลายความหวังของคนรุ่นใหม่ เกิดความคิดที่ว่าระบบการเมืองในสภาไม่ตอบโจทย์ จะฆ่าหนูตัวเดียวเผาบ้านทั้งบ้านเผาป่าทั้งป่าเหมือนที่ผ่านมา สุดท้ายก็กำจัดไม่สำเร็จ จะเอาระบบรัฐธรรมนูญไทยทั้งระบบไปแลกเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งได้ครองอำนาจต่อไปเท่านั้นหรือ” นายปิยบุตร กล่าว 

3 เหตุจูงใจ “มีธง” ยุบพรรค

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า ได้วิเคราะห์แรงจูงใจทางการเมืองสำหรับการยุบพรรคอนาคตใหม่ไว้สามข้อ ประการแรก คือหวังดึง ส.ส.จากพรรคอนาคตใหม่ไปเติมให้ฝ่ายรัฐบาลพ้นสภาวะเสียงปริ่มน้ำ ทุกวันนี้ ส.ส.เราเดินไปมาในสภาถูกคนจากพรรคอื่นมาชวน ส.ส.เราไปอยู่ด้วยอย่างเปิดเผย

ประการที่สอง เขาต้องการกำจัดตนและธนาธรออกไปจากการเมืองไทย และสุดท้าย เขาต้องการกำจัดความคิดแบบอนาคตใหม่ที่เริ่มฟูมฟักตอนนี้ ให้หายไป ไม่มีใครกล้าตามหรือกล้าทำแบบนี้อีก เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้วัตถุประสงค์ทั้งหมดของเขาล้มเหลว ถ้า ส.ส.ทุกคนย้ายไปบ้านใหม่ทั้งหมด สมาชิก 60,000 พากันไปต่อคิวสมัครสมาชิกใหม่ที่บ้านใหม่ทั้งหมด, ถ้าตนและนายธนาธรไม่หยุดเคลื่อนไหว จะเดินสายไปพบกับประชาชนทั่วประเทศ รณรงค์อย่างต่อเนื่อง ,และสุดท้ายถ้าทุกคนยังยึดมั่นในความคิดแบบอนาคตใหม่ พวกเขาจะล้มเหลวในทุกวัตถุประสงค์ของการยุบพรรคอนาคตใหม่ทั้งหมด และนี่คือสิ่งที่ตน นายธนาธร พรรคอนาคตใหม่ และชาวอนาคตใหม่จะทำ

“เราไม่ได้คิดแต่อยากเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี เป็นรัฐบาล แต่เพราะเราต้องการเปลี่ยนแปลงจริงๆ เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงโดยระบบรัฐสภาเป็นไปได้ เสียหายน้อยที่สุด สันติที่สุด แต่ถ้าที่สุดจะไม่อนุญาตให้เปลี่ยนแปลงโดยใช้ระบบรัฐสภา ถ้าสภาหรือสถาบันการเมืองไม่ตอบโจทย์ต่อประชาชน การเมืองท้องถนนก็จะเพิ่มขึ้น

"ถ้าการเมืองในรัฐสภาตอบโจทย์ประชาชนได้ การเมืองบนท้องถนนก็จะลดน้อยลง นี่เป็นเรื่องปกติทั่วโลก สุดท้ายผมต้องพูดว่าการเมืองไทยวันนี้ต่างไปจากในอดีตมากแล้ว คุณต้องรู้ตัวได้แล้วว่าไม่สามารถครองอำนาจได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อประชาชนเริ่มตื่นรู้ว่าชีวิตพวกเขาดีกว่านี้ได้ ว่าเรามีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของทุกคนดีกว่านี้ได้ คุณมีอาหาร 10 จานอยู่บนโต๊ะแล้วจะกินคนเดียวหมดทุกจานโดยไม่ให้คนอื่นที่เหลือเลยมันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว” นายปิยบุตร กล่าว