วันที่ 6 ก.ย. 2566 ที่รัฐสภา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงทางเลือกของรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับนโยบายยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารว่า ‘เกณฑ์’ ทหารคือการบังคับคนที่ไม่อยากเป็นทหารเข้าไปรับราชการทหาร โดยปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายที่เปิดช่องให้รัฐสามารถบังคับคนไปเป็นทหารได้ คือ พ.ร.บ. รับราชการทหาร 2497 หากจำนวนคนที่สมัครใจเป็นทหารกองประจำการในแต่ละปี (supply หรือ อุปทาน) มีจำนวนที่น้อยกว่ายอดกำลังพลหรือจำนวนคนที่กองทัพต้องการให้มาทำหน้าที่ทหารกองประจำการในแต่ละปี (demand หรือ อุปสงค์)
หากเราย้อนไปดูสถิติ 5-10 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า (1) ยอดกำลังพลที่กองทัพขอในแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 90,000 คนโดยเฉลี่ย (2) จำนวนคนที่สมัครใจเป็นทหารในแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 คนโดยเฉลี่ย ดังนั้นโดยเฉลี่ยในแต่ละปี จะมีคนที่ไม่อยากเป็นทหารที่ถูกบังคับไปเป็นทหารผ่านกระบวนการจับใบดำ-ใบแดงประมาณปีละ 50,000-60,000 คน
ตนเชื่อว่าทุกฝ่ายตระหนักว่าการมีอยู่ของการบังคับเกณฑ์ทหารมี ‘ราคา’ ที่ต้องจ่าย เพราะการเกณฑ์ทหารไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของปัจเจกบุคคลจนทำให้หลายคนต้องสูญเสียโอกาสความก้าวหน้าทางการงานหรือเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว แต่การบังคับเกณฑ์ทหารยังส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเพราะเป็นการดึงทรัพยากรมนุษย์ออกจากตลาดแรงงานในวันที่ประเทศไทยเผชิญกับ ‘สังคมสูงวัย’ และมีสัดส่วนคนวัยทำงานที่ลดลง
แม้ฝ่ายที่สนับสนุนการเกณฑ์ทหารมักหยิบยกเหตุผลเรื่องความมั่นคง แต่ผมและพรรคก้าวไกลยืนยันว่าการยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารสามารถกระทำได้โดยไม่กระทบต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศต่อเมื่อ 2 เงื่อนไขต่อไปนี้เป็นจริง:
(1) กองทัพลดจำนวนพลทหารที่ถูกใช้กับภารกิจที่ไม่จำเป็นต่อการรักษาความมั่นคง (ลด demand) เช่น กำจัด “ยอดผี” หรือคนที่ปรากฎชื่อในทะเบียนพลทหาร แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นทหาร, ยกเลิกพลทหารรับใช้ประจำบ้านของนายทหาร, ลดงานที่จำเป็นน้อยลงในบริบทของภัยคุกคามยุคใหม่ที่เปลี่ยนรูปแบบไปจากอดีต
(2) กองทัพยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร เพื่อนำไปสู่ยอดคนที่สมัครเข้ามาเพิ่มขึ้น (เพิ่ม supply) เช่น รับประกันรายได้และสวัสดิการที่สอดคล้องกับค่าครองชีพ และ โอนตรง-โอนครบ-ไม่หัก-ไม่ทอน, เพิ่มโอกาสในการเรียนโรงเรียนนายร้อย-นายสิบ และโอกาสในการเลื่อนขั้นสู่นายทหารชั้นสัญญาบัตร, คุ้มครองสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของพลทหารจากความรุนแรงในค่าย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยุทธศาสตร์ในการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร จึงมี 2 วิธีใหญ่ๆ ได้แก่ วิธีที่ 1 เลิกแบบต้องลุ้นปีต่อปี หรือ ค่อยลดๆเพื่อหวังเลิก โดยไม่แก้กฎหมาย คือการทำเงื่อนไขที่ (1) และเงื่อนไขที่ (2) ควบคู่ไปเรื่อยๆ เพื่อพยายามลด ‘ช่องว่าง’ ระหว่างยอดกำลังพลที่กองทัพขอกับยอดจำนวนคนที่สมัครใจเป็นทหาร
เช่น สมมุติกองทัพลดยอดกำลังพลที่ขอจาก 90,000 เหลือ 60,000 และกองทัพยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหารจนทำให้ยอดคนสมัครเพิ่มจาก 30,000 เป็น 50,000 จำนวนคนที่ถูก “เกณฑ์” ไปเป็นทหารก็จะลดจาก 60,000 (90,000 ลบ 30,000) เป็น 10,000 (60,000 ลบ 50,000) โดยหากดำเนินการต่อไป ก็อาจทำให้ช่องว่างนั้นลดเหลือศูนย์ในที่สุด และทำให้วันหนึ่งการเกณฑ์ทหารถูกเลิกไปโดยปริยาย เพราะยอดสมัครจะสูงกว่ายอดกำลังพลที่กองทัพขอ
วิธีนี้เป็นวิธีที่กองทัพประกาศว่ากำลังดำเนินการอยู่ตามแผนปฏิรูปกองทัพ 2566-70 ของสภากลาโหม คำถามที่ตามมาว่ากองทัพจะสามารถ ‘ลด’ จำนวนคนที่ถูกเกณฑ์ได้มาก-น้อยแค่ไหนในระยะสั้น และจะสามารถ ‘เลิก’ การเกณฑ์ทหารทั้งหมดได้เร็ว-ช้าแค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของกองทัพในการขยับ 2 ตัวเลขดังกล่าว
วิธีที่ 2 เลิกแบบการันตีไม่มีเกณฑ์ (โดยการแก้กฎหมาย) คือการแก้ พ.ร.บ. รับราชการทหาร 2497 เพื่อตัดอำนาจกองทัพในการบังคับคนมาเป็นทหารในยามที่ไม่มีสงคราม เพื่อให้กองทัพประกอบไปด้วยกำลังพลที่สมัครใจเข้ามาเท่านั้น
วิธีนี้เป็นวิธีที่พรรคก้าวไกลเสนอเพราะ 3 เหตุผล คือ (1) เป็นการวางกรอบเวลาและเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนว่าจะยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารภายในเมื่อไร โดยจะเลิกทันทีหรือมีเวลาเท่าไรให้กองทัพปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่าน สามารถกำหนดได้ผ่านบทเฉพาะกาลของกฎหมาย
(2) เป็นการรับประกันกับเยาวชนว่าเมื่อเลิกแล้ว จะไม่ต้องมาลุ้นปีต่อปีว่าจะถูกบังคับไปเป็นทหารหรือไม่ เพราะหากเป็นวิธีที่ 1 แม้ปีก่อนหน้าจะไม่มีการเกณฑ์ทหารเพราะยอดสมัครใจสูงกว่ายอดที่กองทัพขอ แต่ปีถัดไปก็ไม่ได้อะไรรับประกันว่ายอดที่กองทัพขอจะไม่กลับมาสูงกว่ายอดสมัครใจจนทำให้ต้องมีการบังคับคนไปเป็นทหารอีก
(3) เป็นการเพิ่มแรงกดดันกองทัพในการยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหารอย่างเร่งด่วน เพราะการคงกฎหมายที่เปิดช่องให้กองทัพเกณฑ์ทหารได้หากยอดสมัครไม่พอ อาจทำให้กองทัพไม่มีแรงกดดันเพียงพอในการเอาจริงกับปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตพลทหารในค่ายเท่าที่ควร เพราะกองทัพรู้ว่าหากคุณภาพชีวิตพลทหารไม่ดีจนทำให้ยอดสมัครน้อย (เช่น มีปัญหาความรุนแรงในค่าย) กองทัพก็สามารถบังคับคนมาเป็นทหารให้เต็มยอดกำลังพลที่ขอได้อยู่เรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน หากเราแก้กฎหมายเพื่อปิดช่องไม่ให้มีการเกณฑ์ทหาร กองทัพจะถูกเร่งให้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร มิเช่นนั้นจะไม่มีกำลังพลเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่
พริษฐ์กล่าวต่อว่า แม้คำสัมภาษณ์ของสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูสอดคล้องกับวิธีที่ 1 มากกว่าวิธีที่ 2 ที่พรรคก้าวไกลเสนอ ซึ่งทำให้ปีหน้าต้องลุ้นว่าตัวเลขจะบีบลงมาเหลือ 0 ได้หรือไม่ และแม้ปี 2567 สามารถลดลงให้เหลือ 0 นายจริงๆ แต่ปีต่อๆ ไปก็ต้องลุ้นอีก จึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับประกันให้กับเยาวชนที่ต้องวางแผนการใช้ชีวิต
อย่างไรก็ตาม เราคงต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้งหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ หากรัฐบาลยืนยันวิธีที่ 1 เราก็เพียงแต่หวังว่ารัฐบาลจะให้ความชัดเจนเรื่องตัวเลขและกรอบเวลา ว่าจะตั้งเป้าลดจำนวนคนที่ถูกเกณฑ์ปีละกี่คน และจะตั้งเป้าให้เลิกการเกณฑ์ได้ทั้งหมดภายในปีไหน
แต่หากรัฐบาลเลือกวิธีที่ 2 เราก็หวังว่าทางรัฐบาลและพรรคก้าวไกลจะร่วมกันผลักดันการแก้ไขกฎหมายเพื่อยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารให้ผ่านความเห็นชอบของสภาฯได้โดยเร็ว เนื่องจากร่าง พ.ร.บ. รับราชการทหาร ที่พรรคก้าวไกลยื่นไปที่สภาฯเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ตอนนี้กำลังรอเพียงการรับรองโดยนายกฯเศรษฐา เพื่อให้บรรจุเข้าสู่การพิจารณาในวาระของการประชุมสภาฯ
จากนั้น สื่อมวลชนถามถึงนโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหารที่ระบุในเอกสารคำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ถูกเผยแพร่ออกมา พริษฐ์กล่าวว่า ในเอกสารล่าสุด ซึ่งต้องรอการยืนยันว่าเป็นเอกสารทางการหรือไม่ ตนเห็นมีประโยคสั้นๆ ว่าเปลี่ยนจากรูปแบบการเกณฑ์เป็นระบบสมัครใจ ซึ่งหากใช้คำศัพท์เช่นนี้ อาจจะตีความยากว่าเป็นแบบไหน ในมุมมองของตน หมายถึงการเปลี่ยนตัวระบบ คือการยกเลิกการอนุญาตให้มีการบังคับเกณฑ์ ซึ่งถ้าอ่านข้อความตรงนั้น ดูจะเป็นแบบที่ 2 มากกว่า จึงไม่อยากด่วนสรุปว่าท่าทีรัฐบาลจะเป็นแบบไหน เพียงแต่อยากให้ข้อมูลกับสังคมว่ามีการยกเลิก 2 วิธี และ 2 วิธีนี้มีนัยยะต่างกัน
เมื่อถูกถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีใช้คำว่า ‘พัฒนาร่วมกัน’ แทนที่คำว่า ‘ปฏิรูป’ กองทัพ พริษฐ์ให้ความเห็นว่า คำว่าปฏิรูปไม่ได้มีความหมายเชิงลบ หมายถึงการทำให้องค์กรนั้นดีขึ้น ปัจจัยสำคัญในการปฏิรูปองค์กร คือการมีชุดความคิดที่ถูกอัดฉีดเข้าไปจากภายนอกองค์กร ซึ่งในระบอบประชาธิปไตย คือการที่รัฐบาลพลเรือนที่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง นำเอาความคิดจากประชาชนเข้าไปอัดฉีดเพื่อยกระดับการทำงานของกองทัพ
“แน่นอนว่าการปฏิรูปเรื่องใดก็ตาม ความร่วมมือของคนในองค์กรมีส่วนสำคัญ แต่ไม่ควรสร้างบรรทัดฐานที่ทำให้คนเกรงกลัวคำว่าปฏิรูป ยิ่งในบริบทที่ผ่านมา ยังมีข้อกฎหมายบางส่วนทำให้กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน เช่น พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่บอกว่าการตัดสินใจหลายอย่าง เกี่ยวกับนโยบายหรืองบประมาณ ไม่ได้อยู่ในมือ รมว.กลาโหม แต่กลับไปอยู่ที่สภากลาโหม ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการทหารเป็นหลัก ซึ่งขัดกับหลักการที่รัฐบาลพลเรือนควรอยู่เหนือกองทัพ” พริษฐ์ กล่าว