ไม่พบผลการค้นหา
"พิธา-ปิยยุตร-ช่อ" ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาคดีแฟลชม็อบ ตำรวจนัดส่งอัยการ 7 เมษายนนี้ ด้าน "พิธา" ไม่หวั่นโดนคดี พร้อมนำพรรคก้าวไกลทำงานการเมืองอย่างเข้มข้นต่อไป จวกคนยัดคดี หวังปิดกั้นคนรุ่นใหม่ทำงานการเมือง

นายปิยบุตร แสงกนกกุล, นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะอนาคตใหม่ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความผู้ดูแลคดี เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ที่สถานีตำรวจนครบาล หรือ สน.ปทุมวัน ตามหมายเรียก จากกรณี จัดแฟลชม็อบที่สกายวอล์ก เมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2562 ประกอบด้วย ชุมนุมโดยไม่แจ้ง เจ้าพนักงาน, ชุมนุมกีดขวางเส้นทางจราจร, เจ้าพนักงานสั่งให้ยุติการชุมนุมแต่ไม่หยุด, ใช้เครื่องขยายเสียง และชุมนุมในบริเวณไม่เกิน 150 เมตรจากเขตพระราชฐาน รวม 5 ข้อกล่าวหาโดยทั้งหมดปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา 

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนัดพาตัวผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดเข้าพบอัยการในวันที่ 7 เม.ย. เวลา 10.00 น. ซึ่งคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 8 คน รวมถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ด้วย คาดว่าจะรวมเป็นสำนวนเดียวกัน

นายปิยบุตร ระบุว่า พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะกลายเป็นอุปสรรคและสร้างปัญหาให้กับประชาชนในการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย แม้ว่ามีการแก้ไขจากเดิมที่ต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่ มาเป็นการแจ้งเพื่อทราบ แต่เมื่อมีการแจ้งการชุมนุมแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะวางเงื่อนไขต่างๆนานา จึงทำให้หลายกลุ่มเลือกที่จะไม่แจ้งการชุมนุม ซึ่งจำเป็นต้องทบทวนกฎหมายฉบับนี้ โดยมุ่งเน้นประโยชน์แก่การชุมนุมสาธารณะเป็นหลัก

ด้านนายพิธา ระบุว่า คดีนี้เป็นคดีแรกในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลซึ่งทำให้เสียเวลาแทนที่จะเอาเวลาไปประชุมแนวทางแก้ปัญหา โควิด-19 ที่ทางพรรคก้าวไกลมีการประชุมกันอยู่วันนี้ และเห็นว่า อาจจำเป็นต้องมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อให้ ส.ส. ได้พูดคุยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา โควิด-19 ด้วย

เมื่อคำถามว่า กังวลว่าคดีความจะกระทบต่อการทำหน้าที่ ส.ส.และพรรคก้าวไกลจะจบลงแบบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่? 

นายพิธา ยืนยันว่า การดำเนินงานทางการเมืองของพรรคก้าวไกล ที่ต่อเนื่องมาจากพรรคอนาคตใหม่มีความโปร่งใสตลอดมา และยังจะทำงานอย่างเข้มข้นต่อไป โดยไม่มีความกังวลในการนำพาพรรคก้าวไกล แม้จะเผชิญคดีความ 

นอกจากนี้ยังมองว่า การดำเนินคดี รวมถึงคำถามที่สื่อมวลชนถามในลักษณะนี้สะท้อนว่า มีความพยายามปิดกั้นนักการเมืองหน้าใหม่ไม่ให้มีบทบาททางการเมือง ซึ่งความจริงควรเปิดพื้นที่ให้มีคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถหลากหลายเข้ามาทำงานการเมือง