นายโคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มองว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้แม้จะยังไม่รุนแรงแต่ก็น่าเป็นห่วง เพราะทั้งปัจจัยการพยายามช่วงชิงที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐ บวกกับความขลุกขลักและข้อสงสัยในความเที่ยงธรรมของ กกต. นับว่าเป็นจุดเปราะบาง ที่ยังมองไม่ออกว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา อีกทั้งกติกาที่ดูเหมือนคนเขียนจะมีความหวังว่าจะให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่ตั้งรัฐบาล มี ส.ส.และมี ส.ว.เสียงข้างมากด้วย ทำให้แม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว แต่ก็อาจไม่สามารถทำให้เกิดความเรียบร้อยเท่าที่ควร
ซึ่งทางออกหลักๆ ขณะนี้ยังมี 2 ทางให้เลือก คือ 1.การพูดคุยกันโดยใช้แนวทางสันติวิธี เพื่อหาทางออก และ 2. ไม่พูดคุยกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ควรตัดสินใจ เพราะถ้ามองว่าการพยายามเดินเข้าสู่อำนาจแล้วเกิดความขลุกขลัก ต้องเผชิญกับปัญหาแน่นอน ทุกฝ่ายก็ควรมาพูดคุยกันว่าจะมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการไม่คุยกันหรือไม่
ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แต่ละฝ่ายจะคิดและเชื่อว่าฝ่ายตนเองชนะแน่ๆ จึงไม่มีการพูดคุยกัน และเสียงที่แว่วๆ ว่าให้มาคุยกันก็ถูกละเลย แต่สุดท้ายตลอดเวลา 10 กว่าปีที่เราเผชิญกับปัญหาความขัดแย้ง มีบทเรียนมาแล้วว่า ไม่มีฝ่ายใดที่สามารถชนะในทางการเมืองอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่ได้ใช้กันหลายวิธีแล้ว อีกทั้ง ขณะนี้เรามีการเลือกตั้งแล้ว จึงควรเลือกใช้แนวทางสันติวิธี มากกว่าที่จะใช้กำลัง ซึ่งส่วนตัวยังหวังว่าทุกฝ่ายจะมาพูดคุยกัน
สำหรับกรณีที่ กกต. ดำเนินการฟ้องร้องผู้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดการเลือกตั้งนั้น ต้องพิจารณาให้ชัดเจนระหว่างการนำเสนอข้อเสนอต่อองค์กรสาธารณะกับการวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลแล้วเกิดความเสียหาย กรณีเสนอแนะต่อองค์กรสาธารณะ เพื่อประโยชน์สาธารณะ อาจเป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น โดยเฉพาะการวิจารณ์องค์กรโดยสื่อมวลชน ปกติจะมองว่าเป็นการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายมากกว่า และไม่จำเป็นจะต้องดำเนินคดี เพราะสามารถต่อสู้ในทางความคิด ข้อมูล และข่าวสาร หรือแม้แต่การเปิดช่องทางการสื่อสาร ให้ทั้งสองฝ่ายจะสามารถพูดคุยกันก็ได้ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่า
ขณะนี้พยายามเอาใจช่วย กกต.ในการทำหน้าที่ให้เกิดความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่ง กกต.ทุกคน รู้เป็นอย่างดีว่าตนเองอาสาเข้ามาทำงานโดยไม่มีใครบังคับให้มาเป็น ดังนั้นจึงต้องมีความเป็นอิสระ และพิสูจน์ให้เป็นถึงความซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งตราบใดที่สังคมยังให้ความไว้วางใจ กกต.ก็จะสามารถดำเนินการต่อไปได้
นอกจากนี้ นายโคทม ยังกล่าวถึงการใช้กฎหมายดำเนินคดีกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือดำเนินการกับผู้เห็นต่างทางการเมือง ในขณะนี้นั้นไม่เพียงองค์กรระหว่างประเทศเท่านั้นที่จับตา แต่องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยและสังคมไทยก็จับตาเช่นกัน โดยเฉพาะอาจมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพยายามหาทางเข้าสู่อำนาจด้วยการเข้าสู่สูตรที่วางเอาไว้ คือ จะทำอย่างไร ให้มีเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภา ซึ่งความพยายามในส่วนนี้สังคมต้องจับตาดู