ศราวุธ เพชรพนมพร ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และจักรพล ตั้งสุทธิธรรม กรรมาธิการและ ส.ส.เชียงใหม่ และอาภรณ์ สาราคำ ส.ส.อุดรธานี ร่วมงานสัมมนาเรื่องบทบาทของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศในการช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศ ที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

ศราวุธ กล่าวว่า อุดรธานีเป็นเมืองหลวงของประชาธิปไตย มีนักต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจำนวนมากตนภูมิใจที่ได้ทำงานรับใช้คนในพื้นที่ ขณะเดียวกัน จังหวัดอุดรธานีเคยเป็นจังหวัดที่มีแรงงานไปทำงานต่างประเทศมากเป็นอับดับหนึ่งของประเทศไทย และนำรายได้เข้ามาสู่จังหวัด แต่เวลาเกิดปัญหาก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร เช่น ลูกจ้างป่วยอยู่ที่เกาหลี แม้จะมีการรักษาพยาบาลแต่การลาป่วยก็ขาดรายได้ ซึ่งในส่วนของสถานกงสุล และกระทรวงการต่างประเทศมีกองทุนให้กู้ยืมเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินเมื่ออยู่ต่างประเทศ ในช่วงโควิดที่ผ่านมา หลายคนที่มีญาติพี่น้องทำงานอยู่ต่างแดนแล้วกลับมาประเทศไทยไม่ได้ก็มีการประสานขอความช่วยเหลือมาที่กรรมาธิการ โดยประสานงานอย่างง่ายที่สุดจาก ส.ส. ในพื้นที่เพื่อส่งต่อมายัง กมธ. และกระทรวงการต่างประเทศ

ศราวุธ กล่าวว่า เมื่อก่อนตนไม่เข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างไร แต่พอได้เข้ามาทำงานก็เห็นภาพชัดมากขึ้น นโยบายต่างๆ ของพรรคการเมืองก็เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของคน เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ทำให้คนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างถ้วยหน้า เพราะสมัยก่อนเกษตรกรถ้าป่วยขึ้นมาก็ต้องขายนา ขายควายไปรักษาตัว แถมยังเป็นหนี้

ขณะเดียวกัน ถ้านโยบายไม่ดีก็ส่งผลต่อชีวิตคน รัฐบาลที่หาเงินไม่เป็น เศรษฐกิจก็ไม่ดี ยกตัวอย่าง ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากไร่ละ 50,000 บาทเป็น 100,000 บาท คนอาจจะรู้สึกว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น แต่ในเศรษฐกิจแบบนี้ไม่มีคนซื้อที่ดิน ตรงกันข้ามกลับต้องเสียที่ดินเพิ่มจากเดิมเป็นสองเท่า นี่คือกฎหมายที่รัฐบาลหาทางเพิ่มรายได้เข้ารัฐ จากการเก็บภาษีประชาชน แต่นโยบายที่หาเสียงไว้ยังทำไม่ได้ เช่น การเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เป็นต้น ขณะเดียวกันนโยบายเยียวยาประชาชนก็ไม่ทั่วถึง เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนจนบางคนไม่ได้ บางคนมีรายได้เยอะกว่ากลับมีบัตรคนจน, เงินเยียวยา 5,000 บาทก็ใช้เกณฑ์การแจกที่ยุ่งยาก ไม่ทั่วถึง ผ่านไปหลายเดือน ประชาชนที่ได้รับผลกระทบก็ยังไม่ได้รับเงิน

ขณะเดียวกัน ศราวุธกล่าวถึงกระแสข่าวลือว่าพรรคเพื่อไทยจะไปร่วมกับทหารเพื่อจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ยืนยันพรรคเพื่อไทยไม่มีทางไปร่วมรัฐบาลกับทหารเป็นรัฐบาลแห่งชาติแน่นอน และหากทำแบบนั้นจริงๆ ตนไม่เห็นด้วย พี่น้องประชาชนไม่เห็นด้วย ตนจะเลิกเล่นการเมืองไปเลยถ้าพรรคเพื่อไทยทำแบบนั้น ยืนยันว่าไม่มีทางทำแบบนั้น พี่น้องประชาชนต่อสู้เสียเลือดเนื้อมาเท่าไร ไม่มีวันที่เราจะไปจับมือแล้วบอกว่าวันนี้มีความสุขแล้ว

ด้านจุลพันธ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับชีวิตคน พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งจำนวนมากที่สุด แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะมี ส.ว.เลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้จึงต้องกราบขอโทษชาวอุดรธานีที่พรรคไม่สามารถทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ได้ ขณะที่การแก้รัฐธรรมนูญ ฝ่ายค้านก็ถูกต้มจนเปื่อย ไม่ลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ยื้อเวลาไปอีกโดยการตั้งกรรมาธิการและเสนอในสมัยประชุมหน้า แต่ถึงจะโดนหลอก พรรคเพื่อไทยยังยึดมั่นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ 

ถ้าเลือกตั้งโดยบริสุทธิ์แล้ว พรรคเพื่อไทยยังไงก็ต้องเป็นรัฐบาล ตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มา 7 ปีประชาชนจะอดตายกันหมด ราคาข้าว ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ประชาชนเป็นหนี้ เพราะรัฐบาลนี้เอาน้ำไปหยดที่ยอดพีระมิด นายทุนรายใหญ่ได้ประโยชน์ กว่าจะถึงมือประชาชนก็น้อยนิด ไม่ได้ส่งถึงมือประชาชนโดยตรง ในช่วงท้าย นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า ไม่มีพรรคการเมืองไหนโง่พอไปร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถ้าร่วมก็กลับบ้านไม่ได้ ตนยืนยันว่าพรรคมีเป้าหมายที่จะทำงานเพื่อประชาชน แต่ต้องเอา พล.อ.ประยุทธ์ ออกก่อน เราต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม แต่ไม่ได้ฝันว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะกลับมาเป็นนายกฯ พระราชทาน เป็นเพียงแค่ความฝัน