วันที่ 18 พฤศจิกายน จิมมี เวลส์ ผู้ร่วมก่อตั้งวิกิพีเดีย (Wikipedia) สารานุกรมเสรีออนไลน์ ทวีตผ่านทวิตเตอร์ว่าวิกิทริบูน (WikiTribune) โซเชียลเน็ตเวิร์กตัวใหม่ของเขามีผู้ใช้งานแตะ 200,000 รายแล้ว หลังเปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมอย่างเงียบๆ
"นับตั้งแต่โพสต์นี้ เราได้มีผู้ใช้งานแตะ 200,000 รายแล้ว แม้จะยังน้อยเมื่อวัดด้วยมาตรฐานระดับโลก แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าตื่นเต้น" เวลส์ระบุผ่านทวิตเตอร์
เดิมทีนั้นวิกิทริบูน เป็นแพลตฟอร์มข่าวเสมือนเป็นวิกิพีเดียเวอร์ชันข่าวที่มีอาสาสมัครทั่วโลกเขียนและตรวจสอบ ซึ่งเริ่มจากการระดมทุนโดยจิมมี เวลส์ ผู้ร่วมก่อตั้งวิกิพีเดีย ในปี 2017 แพลตฟอร์ม
ข่าวนั้นอยู่บนเว็บไซต์ www.wikitribune.com ก่อนจะเปลี่ยนไปสู่เว็บไซต์ WT.social และเปลี่ยนตัวเองจากแพลตฟอร์มข่าวเป็นแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลเน็ตเวิร์ก) ทำให้วิกิทริบูนมีจุดยืนสนับสนุนข่าวที่มีคุณภาพ ปลอดเฟกนิวส์และคลิกเบต
ในหน้าแรกของเว็บไซต์ WT.social หรือ WikiTribune นั้น ระบุว่าวิกิทริบูนถูกสร้างขึ้นด้วยเจตนาที่จะต่อสู้กับเฟกนิวส์หรือข่าวปลอมที่มีอยู่ทั่วโลกอินเทอร์เน็ต จากการเผยแพร่ผ่านบรรดาโซเชียลเน็ตเวิร์กรายใหญ่ ซึ่งมีอัลกอริทึมที่สนใจเพียงยอดการมีส่วนร่วมและการพยายามให้ผู้ใช้งานเสพติด
"วิกิทริบูนต้องการจะเป็นสิ่งที่ต่างออกไป เราจะไม่ขายข้อมูลของคุณ แพลตฟอร์มของเราอยู่ได้ด้วยความเอื้อเฟื้อของปัจเจกบุคคลผู้บริจาคเงินให้เรา เพื่อรับรองว่าความเป็นส่วนตัวจะได้รับความคุ้มครอง และพื้นที่ทางสังคมของคุณจะปราศจากโฆษณา" วิกิทริบูนระบุถึงโมเดลธุรกิจที่อยู่ด้วยการบริจาค เช่นเดียวกับวิกิพีเดียเองซึ่งอยู่ด้วยโมเดลนี้มาแล้วถึง 18 ปี
"มันจะไม่ทำกำไรมหาศาลหรอก แต่มันจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน" เวลส์กล่าว
สำหรับเรื่องเฟกนิวส์นั้น วิกิทริบูนระบุว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเข้าแก้ไขพาดหัวชวนเข้าใจผิดโดยตรง หรือขึ้นเตือนว่าเป็นโพสต์ที่มีปัญหา
"โมเดลธุรกิจของบรรดาบริษัทโซเชียลมีเดีย ซึ่งอยู่ด้วยโฆษณาล้วนๆ นั้นเป็นปัญหา มันทำให้ผู้ชนะในตลาดนี้คือคอนเทนต์คุณภาพต่ำ" เวลส์กล่าว
ทั้งนี้เฟซบุ๊ก โซเชียลเน็ตเวิร์กรายใหญ่ ซึ่งเปิดตัวในปี 2004 และเปิดให้บุคคลทั่วไปใช้งานมาตั้งแต่ปี 2006 มีผู้ใช้กว่า 2 พันล้านบัญชีทั่วโลก ทว่ากำลังเผชิญกับปัญหาการผูกขาด และการจัดการกับเฟกนิวส์ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐอเมริกากำลังให้ความสำคัญ เนื่องจากกำลังเข้าสู่ช่วงการหาเสียงเพื่อเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า
ที่มา: WikiTribune / Financial Times / Independent
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: