นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตนได้นำคณะ กมธ.มาศึกษาดูงานที่ด่านเชียงของ จ.เชียงราย โดยมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ว่า ภารกิจของ กมธ. ไม่ได้มีเพียงการศึกษาแนวทางควบคุมสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในภาคเกษตรกรรมในประเทศเท่านั้น แต่จะต้องครอบคลุมการศึกษา ตรวจสอบผัก ผลไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศด้วย
จากการนำ กมธ.มาศึกษา ดูงานที่ด่านเชียงของ จ.เชียงราย พบว่า มีผัก ผลไม้ ผ่านด่านเชียงของ มีมูลค่าปีละกว่า 2,500 ล้านบาท นับว่าสูงมาก มีรถบรทุกผัก ผลไม้ดังกล่าวนับร้อยตู้คอนเทนเนอร์ต่อวัน โดยมีเป้าหมายไปส่งยังตลาดสี่มุมเมือง ป้อนผู้บริโภคในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ซึ่งตนและคณะตกใจมากที่ผัก ผลไม้ ผ่านด่านมากมายดังกล่าว แต่ฝ่ายไทยไม่มีห้องแล็บที่จะสุ่มตรวจความปลอดภัยที่ด่านแต่อย่างใด นอกจากส่งมาตรวจที่ห้องแล็บส่วนกลาง ซึ่งกว่าจะทราบผล สินค้าล็อตนั้นก็ไปถึงผู้บริโภคแล้ว ทั้งนี้ ทราบว่าเจ้าหน้าที่เคยสุ่มตรวจพบสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานและมีการสั่งปรับและขึ้นบัญชีผู้ประกอบการไว้จำนวนหนึ่ง แต่คงไม่เพียงพอกับจำนวนผัก ผลไม้ที่ผ่านด่านแต่ละวันจำนวนมากดังกล่าว
นายชวลิต กล่าวต่อว่า รู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบ เพราะไม่มีห้องแล็บ ไม่มีอุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่ทันสมัยในการตรวจสอบ แต่ที่ห่วงมากกว่านั้น คือ ประชาชนคนไทยผู้บริโภค หากได้บริโภคผัก ผลไม้ที่มีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพสะสมไปเรื่อยๆ มีข้อสังเกตว่า ประเทศเพื่อนบ้านเรา คือ เวียดนาม มีห้องแล็บประจำทุกด่านชายแดน
จึงขอเสนอความเห็นมายังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำหนดนโยบายจัดงบประมาณให้ อย.มีห้องแล็บพร้อมบุคลากรที่ด่านเชียงของเพื่อตรวจผัก ผลไม้ ที่อาจมีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานโดยด่วน
ขณะเดียวกัน ขอเสนอความเห็นมายังนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรส่งเสริมเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษป้อนตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเป็นคน กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะช่วยเกษตรกรทางด้านการตลาด และช่วยผู้บริโภคให้ได้รับประทานผักที่ปลอดภัย