เพราะ ‘พล.อ.ประวิตร’ ติดล็อก 2 ปี เป็นนายกฯได้ถึงปี 2568 เท่านั้น หลังวาระนายกฯเริ่มนับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 บังคับใช้ ซึ่งท่าทีของ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ยังคงลุยต่อ จนมีเสียงสะพัดว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอักหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่อง ‘วาระนายกฯ 8 ปี’
ส.ส.สายปักษ์ใต้ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คือจุดเริ่มต้นที่เสนอ ‘สูตรนายกฯคนละครึ่ง’ ออกมา ตามแนวทาง ‘บิ๊กตู่’ 2 ปี ‘บิ๊กป้อม’ 2 ปี
เพราะ ส.ส.ปักษ์ใต้ พปชร. ก็หวังเกาะกระแส ‘พล.อ.ประยุทธ์’ เข้าสภาฯอีกครั้ง ท่ามกลางกระแส พปชร. ที่ตกต่ำลง โดยเฉพาะพื้นที้ภาคใต้ที่พรรคประชาธิปัตย์ หวังทวงคืนด้ามขวาน และพรรคภูมิใจไทยที่เห็นช่องทาง ‘ฐานเสียงใหม่’ จึงระดมทัพหวังยึดปักษ์ใต้
กลายเป็นศึกระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคภูมิใจไทยที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาล ตั้งแต่การถอนร่าง พ.รงบ.กัญชาฯ ออกจากสภาฯ ล่าสุด ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์’ หัวหน้าประชาธิปัตย์ ก็พูดชัดไม่เห็นด้วยกับ ‘กัญชาเสรี’ ด้วย
ความบาดหมางของ พรรคประชาธิปัตย์ - พรรคภูมิใจไทย ก็เป็นไปตามวิถีการเมือง
ทว่าที่ร้าวลึกกลับเป็นสัมพันธ์พี่น้อง ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ ที่มีโอกาส ‘แยกกันเดิน’ ชัดมากขึ้น
เพราะ ‘พล.อ.ประยุทธ์' ก็มีฐานที่มั่นใหม่ คือ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ที่ให้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่ปรึกษานายกฯ ไปสร้างรังใหม่ไว้ก่อน ในสภาวะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ ‘ยืนสองขา-ยื้อเวลา’ ทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่ได้ ‘จังหวะแจ้งเกิด’ อย่างเป็นทางการ
เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีท่าทีแทงกั๊กเพื่อต่อรองกับ ‘พล.อ.ประวิตร ที่สะเทือนไปถึง พปชร. ที่อยู่ในสภาวะเลือดไหลออก
ส่วนจะถึงขั้น ‘ผึ้งแตกรัง’ หรือไม่ ก็อยู่ที่ ‘บิ๊กตู่’ จะมีความชัดเจนเมื่อใด ซึ่งก็คาดว่าหลังจบการประชุมเอเปค ท่าทีของ ‘บิ๊กตู่’ ก็จะชัดเจน และทำให้บรรดา ‘นักการเมือง’ เห็นทางลมกันมากขึ้น โดยเฉพาะ ‘กลุ่มสามมิตร’ ที่ต้องจับตาให้ดี เพราะถูกมองเป็น ‘นกรู้’ ที่กลายเป็น ‘ตาอยู่’ มาทุกยุค จะเลือก ‘ป.’ ไหนกันแน่ ?
สัญญาณที่หนึ่งที่น่าสนใจ คือการที่ ‘ไตรรงค์ สุวรรณคีรี’ ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยคาดกันว่าจะไปเสริมทัพ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ กับคนกันเอง ‘พีระพันธุ์’ ที่ต่างเป็นศิษย์เก่าพรรคประชาธิปัตย์ทั้งคู่ ย้อนไป ม.ค. 2565 ที่มีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ชุมพร-สงขลา ที่ ‘ไตรรงค์’ ปราศรัยซัด ‘บิ๊กป้อม’ กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขณะเป็นเลขาธิการ พปชร. แบบตรงๆ
“บิ๊กป้อม ต้องด่าเด็ก เพราะบิ๊กป้อมไม่ได้ทำเอง แต่เด็กแกทำ เด็กที่ทำผมรู้จัก มันก็นักเลง พวกนี้ผมรู้จักหมด เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก) อยู่กับผม ถูกยิงไปเสียแล้ว โดยที่กรุงเทพฯ มีนักเลงเป็นกลุ่มๆ เขาคุมกันเป็นโซนๆ มี ‘เสธ.หิมาลัย’ ผมรู้จักหมด มาไหว้ผม ตอนนี้ก็เดินตามหลังบิ๊กตู่ มี ‘เสธ.ตึ๊ง’ แต่เดิมมาเยี่ยมผมที่บ้าน แล้วก็มีไอ้ธรรมนัส เวลามีปัญหาอะไรต่างๆ ผมก็ให้ เสธ.แดง ปเคลียร์ เวลาชาวบ้านมาฟ้อง ให้ เสธ.แดง ไปเคลียร์กับธรรมนัส นี่คือผมรู้จัก"
"ผมไม่ใช่นักเลง แต่นักเลงเรียกพี่ ธรรมนัสก็ยังเรียกพี่ แล้วผมไม่ยุ่ง ผมอยู่คนละพรรค ผมโกหกไม่เป็น นักข่าวอยู่เต็ม ผมโทรศัพท์หาธรรมนัส บอกให้ระวังปากนะน้อง ให้ระวังการเดินเกมทางการเมือง มันเพิ่งมาเล่นการเมือง เรียกว่ายังอ่อนอาวุโสทางการเมือง ยังไร้เดียงสาทางการเมือง” ไตรรงค์ กล่าว
สิ่งที่ตอกย้ำว่าโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เข้า พปชร. มาจากกระแสข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย จะคัมแบ็ค พปชร. อีกครั้ง
หลังเคยมีกระแสข่าวกลับไป ‘บ้านเดิม’ นั่นคือ ‘พรรคเพื่อไทย’
แต่สุดท้ายเกิด ‘แรงต้าน’ จากภายในพรรคเพื่อไทย เพราะมีความทับซ้อนในการส่งผู้สมัคร ส.ส. ในบางพื้นที่ของภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่าง อีกทั้งเกิดความกังวลหากรับ ร.อ.ธรรมนัส กลับมา จะเกิดแรงต้านจาก ‘เอฟซีเพื่อไทย’ หรือไม่ เพราะ ร.อ.ธรรมนัส เคยทำงานให้กับ ‘ขั้ว 3ป.’ นั่นเอง หาก ร.อ.ธรรมนัส จะกลับมา พปชร. ก็ต้องเจอกับ ‘โจทก์เก่า’ ที่ยังอยู่ใน พปชร. ด้วย
แถมงานนี้ฝั่ง ‘เพื่อไทย’ ก็ได้จังหวะตี ‘ขั้ว 3ป.’ ทำว่ามีท่าทีเป็นมิตรกับฝั่ง พปชร. โดยเฉพาะกับ ‘บิ๊กป้อม’ ถึงขั้นที่ ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ หน.เพื่อไทย ชมเลยว่า ‘บิ๊กป้อม’ ดีกว่า ‘บิ๊กตู่’ แถมไม่ปิดประตูจับมือ พปชร. ตั้งรัฐบาลข้ามขั่ว แต่มีเงื่อนไขคือไม่มี ‘บิ๊กตู่’ นั่นเอง สอดรับกับกระแสข่าวหาก ร.อ.ธรรมนัส จะกลับ พปชร. ก็ต้องไม่มี ‘บิ๊กตู่’ เท่ากับเป็นเตะ ‘บิ๊กตู่’ ออกจาก ‘สมการอำนาจ’
ไม่นับรวมที่ ‘นิโรธ สุนทรเลขา' ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ชงชื่อ ‘หม่อมอุ๋ย’ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ มาเป็น ‘หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พปชร.’ ด้วย
โดย พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ปฏิเสธชื่อ ‘หม่อมอุ๋ย’ พร้อมชมว่าเป็น ‘คนเก่ง’ แต่ยังไม่ได้พูดคุยกัน ซึ่ง ‘หม่อมอุ๋ย’ ก็เป็นที่ไม่เข้ากับ ‘บิ๊กตู่’ เพราะเคยโดนขับออกจาก ‘รองนายกฯ’ ยุค คสช. โดย ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ได้ตั้ง ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ ขึ้นมาแทน เพราะเป็นคนที่ ‘บิ๊กตู่’ ตั้งใจให้ขึ้นมาเป็น รองนายกฯ ตั้งแต่ต้น
แต่ ‘หม่อมอุ๋ย’ ก็ได้มาเป็นรองนายกฯ เพราะแรงสนับสนุนจาก ‘บิ๊กป้อม’ ที่เป็นเพื่อน ‘เซนต์คาเบรียล’ มาด้วยกัน และ ‘หม่อมอุ๋ย’ เป็น รองประธานกรรมการมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ด้วย
ว่ากันว่า ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ก็อยู่ในช่วงซุ่มเงียบในการตัดสินใจอนาคตการเมือง อาจมาในยุทธวิธีทางทหาร ‘รุกฆาต’ ทีเดียวเลยก็เป็นได้
อีกปรากฏการณ์ที่ถูกจับตาคือ ‘บิ๊กตู่’ สั่งปราบปืนเถื่อน-ยาเสพติด ผลพวงจากเหตุการณ์กราดยิง จ.หนองบังลำภู ช่วงที่ผ่านมา
‘พล.อ.ประยุทธ์’ ให้ความสำคัญมาก จึงนำมาสู่การมีข่าวปราบปืนเถื่อนรายวัน พร้อมกำชับทั้งในวง ‘ทหาร-ตำรวจ’ ด้วย
โดยในการประชุม ก.ตร. ครั้งล่าสุด พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง เป็น โฆษก ตร. เปิดเผยว่ากรณีที่ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ แฉกลุ่มนายทุนธุรกิจชาวจีน เปิดสถานบันเทิงมั่วสุมยาเสพติด ‘ผับศูนย์เหรียญ’ โดยมีการเชื่อมโยงกับ ‘เจ้าพ่อเมืองหลวง-นักการเมืองใหญ่’ ที่คอยคุ้มครอง พร้อมร้องไปยัง ‘บิ๊กโจ๊ก’พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ว่า ผบ.ตร. สั่งเก็บข้อมูลรายละเอียดข้อมูลทุกอย่าง เพื่อประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
ส่วนช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งแล้วจะจัดการทุนสีเทาในทางการเมืองอย่างไร โฆษก ตร. กล่าวว่า ได้มีการออกวิทยุสั่งการไปแล้ว ในการระดมปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับเรื่องปืน ยาเสพติด ให้ลงไปถึงพื้นที่กลุ่มเสี่ยง บุคคลผู้มีอิทธิพล ผู้ติดตาม เอ็กซเรย์พื้นที่ เพื่อทำการกวาดล้างปืน ยาเสพติด ซึ่งที่ผ่านมามีการรายงานผลมาตลอด
แต่ที่กำลังถูกจับตาเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนมาถึงพรรคพลังประชารัฐ เพราะมีการอ้างว่ามี ‘นายทุนจีน’ ที่ได้สัญชาติไทย ถูกเชื่อมโยงกับ ‘ธุรกิจสีเทา’ ได้บริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ 3 ล้านบาท เมื่อปี 2564 ซึ่งสุ่มเสี่ยงผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่มีโทษถึงขั้นยุบพรรค เรื่องนี้ ‘พล.อ.ประวิตร’ ก็เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นยุบพรรค โดยให้เป็นไปตามที่ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ประธานยุทธศาสตร์ พปชร. ชี้แจง
“การที่บุคคลจะบริจาคเงินให้กับพรรค ทางพรรคก็ไม่สามารถที่จะรู้รายละเอียดส่วนลึกของแต่ละบุคคลได้ เราตรวจดูว่าเงินมาในรูปแบบที่ กกต. ได้กำหนดไว้ ซึ่งถูกต้องครบถ้วน” สมศักดิ์ กล่าว พร้อมชี้แจงว่า “ซึ่งเราได้สอบถามกับสมาชิก พปชร. ของเราแล้ว ก็ไม่มีใครสนิทเป็นพิเศษ”
ทั้งหมดนี้เป็นช่วง ‘เปลี่ยนผ่าน’ ขั้วอำนาจ ‘3ป.’ ที่นับวันยิ่งเสื่อมมนต์ขลัง
แม้ขั้วอำนาจ ‘3ป.’ จะยังไม่พ้นจาก ‘สมการอำนาจ’
แต่การ ‘เกลี่ยอำนาจ’ ครั้งใหม่ กำลังจะเกิดขึ้น หลังเลือกตั้ง ‘3ป.’ ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เฉกเช่น 8 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งวิถีการเมืองของ ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ ที่นับวัน ยิ่งต่างคนต่างเดินด้วย