นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เปิดเผยหลังจากเข้าพบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าเขาอาจไม่สามารถโน้มน้าวนายทรัมป์ให้อยู่ในข้อตกลงยุติโครงการนิวเคลียร์ อิหร่าน เพื่อแลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่าน เพราะนายทรัมป์จะถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้ด้วยเหตุผลทางการเมืองภายในสหรัฐฯ เอง
แม้นายทรัมป์จะยังมีเวลาตัดสินใจถึงวันที่ 12 พ.ค. นี้ ว่าจะเข้าร่วมข้อตกลงที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านหรือไม่ แต่ที่ผ่านมา นายทรัมป์เคยแสดงความเห็นว่า ข้อตกลงที่นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อนทำไว้เป็นข้อตกลงที่ย่ำแย่ และเขาเคยสัญญาไว้ว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้ เพราะข้อตกลงนี้ไม่ได้หยุดยั้งอิหร่านจากการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในตะวันกลาง เช่น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และนายทรัมป์ยังต้องการให้แบนการใช้ยูเรเนียม เสริมสมรรถนะอย่างถาวร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม นายมาครงกล่าวว่า เขาเห็นด้วยกับนายทรัมป์ว่า การทำข้อตกลงกับอิหร่านจะต้องระบุเรื่องการจำกัดอิทธิพลของอิหร่านในตะวันออกกลาง และควรต้องครอบคลุมเรื่องการจำกัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์ และขีปนาวุธทั้งหมดในระยะยาว พร้อมกล่าวว่า เขายืนยันว่าจะร่วมมือกันนายทรัมป์ในการกำหนดกรอบการทำงานในตะวันออกกลางใหม่ โดยเฉพาะในซีเรีย
ด้านนายฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่านกล่าวว่าผู้นำสหรัฐฯ และฝรั่งเศสไม่มีสิทธิที่จะเจรจาข้อตกลงใหม่ ทั้งที่มีฝ่ายที่เข้าร่วมข้อตกลงเดิมกันถึง 7 ฝ่าย ได้แก่ อิหร่าน สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย จีน และเยอรมนี ดังนั้น อิหร่านก็จะดำเนินโครงการนิวเคลียร์อย่างสันติต่อไป
ขณะเดียวกัน อยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอีเรียกร้องให้ประเทศมุสลิมรวมตัวกันต่อต้านสหรัฐฯ พร้อมกล่าวว่า อิหร่านสามารถต้านทานความพยายามกลั่นแกล้งจากสหรัฐฯ ได้สำเร็จ และจะต้านทานต่อไป
ที่มา: BBC