นายโจเซฟ สติกลิตซ์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ เขียนบทความลงในเว็บไซต์ Project Syndicate เรื่อง "ภาวะซึมเศร้าหลังการประชุมดาวอส" โดยเขาระบุว่า ชนชั้นนำที่ไปดาวอสของสวิตเซอร์แลนด์ ปลาบปลื้มที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวและเติบโตขึ้นอีกครั้งแล้ว แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การเติบโตนี้ไม่ยั่งยืนและทั่วถึง และไม่มีปีไหนที่เขารู้สึกหดหู่เท่ากับการประชุมปีนี้อีกแล้ว
ปีนี้ ความเหลื่อมล้ำก็สูงขึ้น เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นกลับไปรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ความมั่นคง ตำแหน่งงานและประชาธิปไตย และเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ยังผูกขาดอยู่กับไม่กี่เจ้าในสหรัฐฯ และจีน แต่สิ่งที่น่าหดหู่กว่าปัญหาที่ย่ำแย่ลงก็คือ ปฏิกิริยาของชนชั้นนำเอง ที่ยังมีมายาคติว่า โลกาภิวัตน์ที่พวกเขาร่วมกันสร้างและตักตวงผลประโยชน์มหาศาลจากมันกำลังถูกทำลายด้วยนโยบายประชานิยม แต่ชนชั้นนำเหล่านี้แทบไม่ตระหนักเลยว่า ระบบนี้ได้ทิ้งคนจำนวนมาก ทำให้รายได้ไม่เพิ่มขึ้นและการกระจายรายได้ลดลงอย่างชัดเจน
สิ่งที่ไม่มีผู้บริหารคนไหนในสหรัฐฯ พูดถึงก็คือ ความทิฐิ เหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ คำพูดที่ไม่สนใจข้อเท็จจริง คำโกหก ความหุนหันพลันแล่นของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ การลดงบสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งและทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น การโจมตีสื่อและระบบยุติธรรม ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญสำหรับระบอบประชาธิปไตยในการตรวจสอบถ่วงดุล
การที่รัฐบาลจะเก็บภาษีมหาวิทยาลัยเพิ่ม จะทำให้การใช้จ่ายในระดับท้องถิ่นลดลง โดยเฉพาะท้องถิ่นที่จนกว่า ทั้งที่มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งความรู้และนวัตกรรมที่สำคัญ และนายทรัมป์ก็อาจละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า ความสำเร็จในศตวรรษที่ 21 จะเกิดขึ้นได้ต้องลงทุนในการศึกษามากขึ้น นอกจากนี้ ยังไม่มีนักธรุกิจคนไหนคัดค้านการลดภาษีนิติบุคคล
นายสติกลิตซ์มองว่า ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำยิ่งขึ้น คนที่ต้องแบกรับภาระหนี้ส่วนใหญ่คือชนชั้นกลาง คนกลุ่มที่ทรัพย์สินลดลงมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคำตอบของปัญหาที่ทุกประเทศมี นั่นก็คือ ชนชั้นนำได้แต่แสดงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ โดยที่ไม่พูดถึงการบังคับใช้กฎหมายหรือมาตรการใดๆ เช่น สิ่งแวดล้อมที่ย่ำแย่ก็เกิดมาจากบริษัทที่ไม่ทำตามมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่มีบทลงโทษที่จริงจังในการสร้างมลพิษ
อ่านเพิ่มเติม: