ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรี แจ้งข่าวดี 'ไทย-ซาอุดีฯ' ฟื้นความสัมพันธ์กลับมาอยู่ใน 'ระดับปกติ' สิ้นสุด 3 ทศวรรษแห่งความห่างเหิน เห็นพ้องยกระดับผู้แทนทางการทูตจาก 'อุปทูต' กลับมาเป็น 'เอกอัครราชทูต' ชี้เพิ่มโอกาสมหาศาล 9 ด้าน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงความสำเร็จจากการเดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการในช่วงวันที่ 25-26 ม.ค.65  โดยระบุข้อความว่า วันนี้ ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะขอแจ้งข่าวดีต่อปวงชนชาวไทย รวมทั้งชาวซาอุดีอาระเบีย เกี่ยวกับความสำเร็จในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย - ซาอุดีอาระเบีย ให้กลับมาอยู่ใน “ระดับปกติ” อย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่วันนี้สืบไป ภายใต้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของทั้งสองฝ่าย ถือเป็นการสิ้นสุด 3 ทศวรรษแห่งความห่างเหิน และเริ่มต้นศักราชใหม่แห่งความร่วมมือ สร้างสรรค์ และพัฒนา เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน บนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในทุกมิติระหว่างสองประเทศ

IMG_20220125212646000000.jpeg

ภารกิจการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของผมในครั้งนี้ เป็นไปตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยในเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะยกระดับผู้แทนทางการทูตของทั้งสองประเทศ จาก "อุปทูต" ให้กลับมาเป็นระดับ "เอกอัครราชทูต" ดังเดิม รวมทั้งจะพิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคี เพื่อผลักดันกรอบนโยบายและแผนความร่วมมือต่างๆ ทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้เจริญงอกงามสืบต่อไป และในโอกาสการพบหารือครั้งนี้ ผมได้กราบบังคมทูลเชิญมกุฎราชกุมารฯ แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ให้เสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ในวันนี้ด้วย

IMG_20220125223514000000.jpeg

ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับ “โอกาสอันมากมายมหาศาล” ที่ประเมินว่าทั้งสองประเทศจะได้รับ จากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ได้แก่

1. ด้านการท่องเที่ยว : เป็นโอกาสสำหรับการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับประชาชนที่จะมีพลวัตรมากขึ้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมนี้อย่างรอบด้าน เบื้องต้น มีการคาดการณ์ว่า การเดินทางไปมาหาสู่ที่สะดวกยิ่งขึ้นระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบีย จะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยไม่ต่ำกว่าประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี

2. ด้านพลังงาน : เกิดการร่วมวิจัยและลงทุน ทั้งในรูปแบบพลังงานดั้งเดิม พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชาติของทั้งสองประเทศ โดยซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศผู้ค้าและมีแหล่งสำรองน้ำมันอันดับต้นๆ ของโลก ตลอดจนมีวิทยาการด้านพลังงานที่ทันสมัย ส่วนไทยก็มีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่พร้อมรองรับการวิจัย พัฒนา และการลงทุนแห่งอนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบาย BCG Economy ซึ่งสอดรับกับข้อริเริ่ม Saudi Green Initiative และ Middle East Green Initative ของซาอุดีอาระเบีย

3. ด้านแรงงาน : ไทยมีแรงงานฝีมือและกึ่งฝีมือที่มีศักยภาพจำนวนมาก ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบต่าง ๆ จำนวนมากเช่นกัน โดยช่วงปี 2530 ไทยเคยส่งแรงงานไปซาอุดีอาระเบียมากถึง 300,000 คน สร้างรายได้ส่งกลับประเทศมากกว่า 9,000 ล้านบาทต่อปี บัดนี้ ความร่วมมือและโอกาสนั้นจะกลับมาอีกครั้ง โดยแรงงานจากประเทศไทย จะมีส่วนช่วยเติมเต็ม “วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ. 2030” (Saudi Vision 2030) ผ่านโครงการก่อสร้างที่คาดว่าจะมีขึ้นเป็นจำนวนมาก

4. ด้านอาหาร : ประเทศไทยนั้นถือเป็น “ครัวโลก” อุดมสมบูรณ์ด้วยผลิตผลทางการเกษตร ผัก ผลไม้ และประมง อีกทั้งมีอาหารที่ทั่วโลกต่างหลงมนต์เสน่ห์ รวมถึงอาหาร “ฮาลาล” ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตและพร้อมส่งออกให้แก่ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงผ่านซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นำมาซึ่งโอกาสอย่างมหาศาลสำหรับผู้ประกอบการด้านอาหารของไทย

5. ด้านสุขภาพ : ด้วยความแข็งแกร่งด้านระบบสาธารณสุขของไทย และบุคลากรทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงการให้บริการที่ทุกคนประทับใจ ทำให้ไทยกลายเป็น "ศูนย์กลางทางการแพทย์" (Medical Hub) ที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากภูมิภาคตะวันออกกลางที่เป็น "นักท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม" นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย โดยผู้ป่วยมักจะเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มักจะซื้อแพคเกจที่รวมการรักษาพยาบาล ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยว จึงเป็นโอกาสที่จะเกิดการขยายตัวทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความร่วมมือทางการแพทย์ได้มากยิ่งขึ้น

6. ด้านความมั่นคง : ซาอุดีอาระเบียถือเป็นเป็นประเทศอิสลามสายกลาง ที่มีอิทธิพลสูงในกรอบองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) สามารถมีบทบาทช่วยส่งเสริมการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน ตามแนวทางสันติสุข นอกจากนั้น ยังสามารถมีความร่วมมือกันด้านข้อมูลข่าวสารความมั่นคง และการต่อต้านการก่อการร้ายอีกด้วย

7. ด้านการศึกษาและศาสนา : ที่ผ่านมานั้น ซาอุดีอาระเบียได้ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการศึกษาด้านศาสนา นอกจากนั้น ซาอุดีอาระเบีย ยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงาน สุขภาพ การวิจัยทางทะเล การก่อสร้าง เทคโนโลยีป้องกันประเทศ และอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ไทยมีโอกาสขยายการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาระหว่างกันอีกมาก

8. ด้านการค้าและการลงทุน : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการกลับมาสู่ความสัมพันธ์ในระดับปกติ จะสร้างโอกาสและเปิดประตูทางการค้าให้กับนักลงทุนและ SME ไทย ในการแสวงหาลู่ทางการทำธุรกิจและการแสวงหาหุ้นส่วนทางการค้าได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นทั้งในซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าตกแต่งภายใน และเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศผ่าน "กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ" ในด้านพลังงาน นวัตกรรม โทรคมนาคม อวกาศ เทคโนโลยีสีเขียว โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ซึ่งไทยนั้น มีความพร้อมในด้านทรัพยากรมนุษย์ องค์ความรู้ สถานศึกษา และเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ อย่าง EEC พื้นที่ระเบียงเศษฐกิจ และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมไปถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะในจังหวัดต่างๆ ด้วย

9. ด้านการกีฬา : จะเป็นโอกาสอันดีในการสร้างความร่วมมือทางการกีฬาของทั้งสองประเทศ ที่มีความสนใจในการแข่งขันและการกีฬาต่างๆ ร่วมกัน เช่นฟุตบอล มวย กอล์ฟ การแข่งรถ รวมถึง e-sport และอื่นๆ และเป็นโอกาสของไทยในการส่งเสริม "มวยไทย" ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย

IMG_20220126091502000000.jpeg

ในวันนี้ ทั้งสองประเทศสามารถก้าวผ่านพ้นอดีต กลับมาสู่อนาคตที่สดใส โดยประวัติศาสตร์ต้องจารึกว่านี่คือ “ชัยชนะ” สำหรับประชาชนทั้งสองประเทศ ที่รัฐบาลของทั้งคู่ได้ใช้ความพยายามและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนสำเร็จลุล่วงได้ในที่สุด และพร้อมก้าวย่างต่อไปอย่างมั่นคง ขยายจากความร่วมมือทวิภาคี "ไทย - ซาอุดีอาระเบีย" ไปสู่พหุภาคี "อาเซียน – คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ” (Gulf Cooperation Council : GCC) โดยต่อจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินงานอย่างไม่ลดละ ที่จะนำเอาความสำเร็จจากการสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ แปลงไปสู่นโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอีกมากมาย ซึ่งผมจะเร่งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เพื่อสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชน และการฟื้นฟูประเทศหลังโควิดโดยเร็วที่สุด ซึ่งผมจะได้นำมาเรียนแจ้งพี่น้องในทันทีที่มีความคืบหน้าครับ


นายกฯ กลับถึงไทยแล้ว กักตัวแบบซีลรูทในบ้านพัก

มีรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 ดอนเมือง นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางกลับภายหลังเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ โดยทันทีที่นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางถึง เจ้าหน้าที่จากสถาบันบำราศนราดูร ได้เข้าทำการตรวจเชื้อโควิด 19 แบบ RT-PCR และต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ในการกำหนดเส้นทางเป็นการเฉพาะ หรือซีลรูท โดยต้องแยกตัวเอง เว้นระยะห่าง รวมทั้งหากจำเป็นต้องประชุม ก็จะใช้การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์หรือระบบซูมจากบ้านพักแทน และจะทำการตรวจเชื้อ โดยวิธี RT-PCR อีกครั้งในวันที่ 30 มกราคมนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 5 หลังจากเดินทางกลับ

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า ตลอดวันนี้หลังเดินทากลับเข้าบ้านพัก นายกรัฐมนตรีไม่มีภารกิจ ส่วนในวันพรุ่งนี้(27 มค.) นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 1/2565 จากบ้านพักภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ผ่านระบบออนไลน์ ส่วนในวันศุกร์ ที่ 28 มกราคม เดิมนายกรัฐมนตรี มีกำหนดพบกับผู้ที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี 2563 และประจำปี 2564 แต่มอบหมาย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับแทน และปฏิบัติงานภายในบ้านพัก ซึ่งเป็นไปตามมาตรการของสาธารณสุขในการป้องกัน โควิด-19 ก่อนที่จะเริ่มงานที่ทำเนียบรัฐบาลในวันจันทร์ที่ 31 ม.ค.นี้

นอกจากนี้มีรายงานว่า ในการเดินทางเยือนซาอุดีอะระเบีย นายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับคนไทยและนักเรียนไทย ที่ซาอุดีอาระเบียด้วย ซึ่งแม้จะมีการเข้มข้นในมาตรการสาธารณสุขแล้ว แต่ก็ยังกังวลจึงจำเป็นต้องประมาทระวังและตรวจติดตามหาเชื้อโดยละเอียด

IMG_20220126092711000000.jpeg