นครลอสแอนเจลิสได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีปัญหาการจราจรติดขัดที่สุดในสหรัฐฯ โดย Inrix บริษัทวิเคราะห์ด้านคมนาคมเปิดเผยว่า ปี 2017 ที่ผ่านมา ประชาชนในนครลอสแองเจลิสใช้เวลาอยู่บนท้องถนนช่วงเร่งด่วนเฉลี่ย 102 ชั่วโมงต่อปี มากกว่าทุกเมืองในโลก โดยเวลาที่ใช้ไปกับการเดินทางที่เป็นระยะทางปกติในช่วงเร่งด่วนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 44 นาทีต่อวัน และช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้า ผู้ขับขี่ต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนานขึ้นร้อยละ 67 ส่วนช่วงเวลาเร่งด่วนตอนค่ำ ผู้ขับขี่ต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนานขึ้นร้อยละ 84
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่านครนิวยอร์กและซานฟรานซิสโกก็มีปัญหารถติดอยู่ในระดับเดียวกับลอสแอนเจลิส แต่นครนิวยอร์กมีประชากรแออัดอยู่ในใจกลางเมืองเท่านั้น ส่วนลอสแอนเจลิสมีประชากรและสิ่งก่อสร้างหนาแน่นเท่าๆ กันหมดทั้งเมือง จึงมีปัญหารถติดทั่วเมือง นอกจากนี้ ขนาดพื้นที่ของนิวยอร์กและซานฟรานซิสโกก็เล็กกว่าลอสแอนเจลิสมาก ระยะการเดินทางของชาวนิวยอร์กและซานฟรานซิสโกจึงสั้นกว่า ส่งผลให้ใช้เวลาบนท้องถนนในช่วงเร่งด่วนน้อยกว่าด้วย
อีกปัจจัยคือ ลอสแอนเจลิสเป็นเมืองที่คนชอบขับรถยนต์กันมากก���่าใช้บริการขนส่งสาธารณะ โดยคนที่เดินทางไปทำงานด้วยการขับรถยนต์หรือติดรถคนอื่นไปทำงานมีถึงร้อยละ 84 ของทั้งหมด
บริเวณที่มีการจราจรหนาแน่นที่สุดในลอสแอนเจลิส 5 อันดับแรกล้วนเป็นบริเวณไฮเวย์ และบริการขนส่งสาธารณะในบริเวณนั้นก็มักจะย่ำแย่กว่าบริเวณอื่น นายไมเคิล ดี แมคเนลลีอาจารย์จากสถาบันการศึกษาด้านคมนาคม มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ แสดงความเห็นว่าประชาชนไม่ค่อยมีทางเลือกอื่นในการเดินทางไปบริเวณที่การจราจรหนาแน่นนอกจากการขับรถไป หรือต่อให้บริเวณที่บริการขนส่งสาธารณะเข้าถึง เวลาที่ใช้ในการเดินทางด้วยบริการสาธารณะก็มากกว่าการใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่ดี
แม้ลอสแอนเจลิสจะมีประชากร 10 ล้านคนในพื้นที่กว่า 10,515 ตารางกิโลเมตร ซึ่งไม่แออัดเท่านิวยอร์กที่มีประชากร 8.5 ล้านในพื้นที่ 777 ตารางกิโลเมตร แต่ปัญหาการจราจรติดขัดก็ยังมากกว่า เพราะประชากรมีรถยนต์ส่วนตัวประมาณ 7.8 ล้านคัน เมื่อเทียบกับนิวยอร์กที่คนมีรถยนต์ส่วนตัวกันเพียง 2.6 ล้านคน
นายแมคเนลลี ระบุว่าลอสแอนเจลิสเลือกที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเมืองที่เอื้อให้รถยนต์เป็นใหญ่ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร ยกเว้นจะใช้มาตรการห้ามใช้รถยนต์เหมือนในเวนิสของอิตาลี โดยเขาได้เปรียบเทียบว่านิวยอร์กสามารถจำกัดจำนวนคนที่ซื้อรถยนต์ส่วนตัวได้ เพราะค่าจอดรถแพงและระบบขนส่งสาธารณะทั่วถึงพื้นที่ทั้งเมือง อีกทั้งยังให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ในปี 2016 มีการอนุมัติงบประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายระบบขนส่งสาธารณะ ปรับปรุงไฮเวย์ทั่วเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อจะลดเวลาการเดินทางลงให้ได้ร้อยละ 15 ในปี 2057 อย่างไรก็ตาม นายไบรอัน ดี เทย์เลอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ลูอิสด้านนโยบายท้องถิ่นศึกษาและสถาบันคมนาคมศึกษาของมหาวิทยาลัย UCLA ไม่เชื่อว่าการปรับปรุงถนนและไฮเวย์จะช่วยลดปัญหารถติดได้ เพราะคนก็ยังต้องการใช้รถยนต์อยู่ดี เพราะสะดวกกว่าและดูดีกว่า
ปัจจุบัน ลอสแอนเจลิส เคาน์ตีเพียงเขตเดียวก็มีถนนรวมกันยาวถึง 10,460 กิโลเมตร มากกว่าถนนในทั้งเมืองพอร์ตแลนด์หรือเดนเวอร์ แต่การขยายถนนและไฮเวย์ยิ่งเพิ่มจำนวนรถยนต์ที่วิ่งในบริเวณเดียวกันและในเวลาเดียวกัน เพราะการขยายถนนจะรองรับรถยนต์ได้มากขึ้น ทุกคนก็ยิ่งนำรถออกมาขับกันมากขึ้น
นายแมคเนลลีมองว่าในอนาคต รถยนต์ก็จะยังคงเป็นใหญ่ในลอสแอนเจลิส เพราะคนตัดสินใจใช้รถยนต์ด้วยหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบาย ความเคยชิน หรือแม้แต่ความรู้สึกทางใจที่ว่าการนั่งในรถยนต์ส่วนตัวทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ระบบขนส่งสาธารณะไม่สามารถทดแทนได้เลย ดังนั้น การขยายระบบขนส่งสาธารณะในลอสแอนเจลิสจึงไม่ใช่ทางออกที่ดี