สำหรับเกณฑ์การตัดสินของ ‘เคเตอร์วิงส์’ วัดจากจำนวนร้านอาหารต่อพลเมือง 10,000 คน และแบ่งประเภทของอาหารฟาสต์ฟู้ด ภัตตาคารหรู มังสวิรัติ และวีแกนออกจากกันชัดเจน บวกกับการมุ่งความสนใจไปในเรื่องค่าใช้จ่าย โดยคำนวณระยะเวลาการทำงานของพนักงานกับค่าแรงขั้นต่ำในประเทศ เพื่อดูความสามารถในการจ่ายค่าอาหารมื้อค่ำสำหรับสองคน ก่อนสมทบด้วยคะแนนจากผู้สื่อข่าว และนักวิจารณ์อาหารกว่า 20,000 คน เพื่อประเมินคุณภาพอาหารท้องถิ่นในแต่ละเมือง

แน่นอนว่า ‘ซาน เซบาสเตียน’ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่อาหารดีสุดในโลกด้วยคะแนน 8.09 เพราะเต็มเปี่ยมด้วยสีสันของสตรีทฟู้ด ตลาดสด บาร์ คาเฟ่ ภัตตาคารระดับไฮเอนด์ และอาหารติดดาวมิชลิน ท่ามกลางบรรยากาศที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบเบล เอป้อค (Belle Époque) อันแสนงดงาม

ที่สำคัญเมืองเล็ก ๆ ของแคว้นบาสก์ยังเหนือคู่แข่งด้วยอาหารอร่อยราคาไม่แพง และหาได้ง่ายแทบทุกหัวมุมถนน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่บนแผนที่ของนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในอาหารไปแล้ว ส่วนใครที่ชื่นชอบอาหารติดดาว ‘ซาน เซบาสเตียน’ ยังเป็นเมืองที่ครอบครองดาวมิชลินมากเป็นอันดับสองของโลก จะเป็นรองก็แค่กรุงโตเกียวเท่านั้น และตามด้วยนิวยอร์กเป็นอันดับที่สาม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ต้องหาโอกาสไปเยือนกันให้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ‘ซาน เซบาสเตียน’ ยังเป็นบ้านของคนรักอาหารทะเล เนื่องจากโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลกันตาเบรียที่สวยงาม จึงสามารถเข้าถึงอาหารทะเลสดใหม่ได้ไม่ยาก โดยอาหารพื้นเมืองที่เป็นไฮไลต์คือ ‘พินโชส์ (Pintxos)’ หรือ ‘ทาปาส (Tapas)’ ขนมปังฝรั่งเศสหั่นเฉียงหนาพอดีคำท็อปด้วยกุ้ง ปลาหมึก แซลมอน ไข่เจียวสเปน ซึ่งถือเป็นอาหารทานเล่นยอดนิยมของประเทศสเปน ตามผับบาร์มักนำมาวางเรียงให้เลือกกันเต็มโต๊ะ ประกอบกับวิถีคนท้องถิ่นก็ชอบการกินเป็นชีวิตอยู่แล้ว จะเดินไปทางไหนก็จะได้ยินคนรอบข้างพูดเรื่องอาหารแน่นอน

ในลิสต์รายชื่อ 100 อันดับเมืองที่อาหารดีสุดในโลกจากการศึกษาของ ‘เคเตอร์วิงส์’ ยังมีกรุงเทพฯ ของประเทศไทย ติดอยู่ในลำดับที่ 21 ด้วยคะแนนรวม 7.10 ส่วนเชียงใหม่ตามมาในอันดับที่ 38 ด้วยคะแนนรวม 6.62

ดูรายชื่อ 100 อันดับเมืองที่อาหารดีสุดในโลกได้ทางเว็บไซต์ Caterwings

ภาพจาก : Bellavita Travels