นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล และประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้ร่วมลุกขึ้นอภิปรายในญัตติข้อเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาและประชาชน โดยชี้ว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งกรรมาธิการขึ้นมา
นายปดิพัทธ์ ระบุว่า ไม่มีความเห็นด้วยเลยกับการตั้งกรรมาธิการวิสามัญนี้ขึ้นมา เพราะอาจจะเป็นได้แค่การถ่วงเวลาที่สิ้นเปลืองงบประมาณ เพราะข้อเรียกร้องของนักศึกษานั้นชัดเจนและตรงไปตรงมา และเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ว่าเป็นข้อเรียกร้องของประชาชน ไม่ใช่ของนักศึกษาเท่านั้น
สิ่งที่นักศึกษากำลังออกมาเคลื่อนไหวในขณะนี้มีความเสี่ยง 3 ประการ ประการแรก คือเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยในร่างกาย การถูกทำร้ายร่างกายและทรัพย์สิน ประการที่สอง คือเสี่ยงกับการถูกดำเนินคดีจากกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม และประการที่สาม เสี่ยงกับความเกลียดชังจากฝ่ายขวาจัด ที่คิดว่าความเห็นต่างคือการบ่อนทำลายชาติ และหาเรื่องที่จะด้อยค่าพวกเขา และอาจจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมแบบ 6 ตุลา ได้
นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อว่า คนทนไม่ไหวแล้ว กับการที่อนาคตของประเทศนี้ถูกพรากไปจากพวกเขา กลไกของสภา องค์กรที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ทั้งหมดไม่มีความหวังในการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้กับพวกเขาแล้ว เมื่อมองมาที่รัฐบาลตอนนี้ ในวันที่ประเทศเดือดร้อนขนาดนี้ ก็ยังจัดคณะรัฐมนตรีไม่เสร็จ เมื่อมองมาที่องค์กรอิสระก็มีแต่ความน่ากังขา ดังนั้นการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเป็นได้แค่การซื้อเวลา และเอาพวกเขามาคุยในที่ไม่คุ้นเคย
รัฐบาลยังเต็มไปด้วยความไม่จริงใจ เพราะถ้าจริงใจจะรับฟังแล้วเหตุใดจึงมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหว ขาหนึ่งทำเป็นรับฟัง อยากตั้งกรรมาธิการวิสามัญ อีกขาหนึ่งเอาเจ้าหน้าที่รัฐ กฎหมาย คดีความกลัวไปคุกคามพวกเขา จึงเป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจจะแก้ไขปัญหานี้
นายปดิพัทธ์ ระบุว่า ความเดือดร้อนของพวกเขานั้นไม่ทันกาลแล้วที่เราจะตั้งกรรมาธิการมาซื้อเวลา ข้อเรียกร้องของพวกเขาผูกอยู่กับเงื่อนไขที่ว่าพวกเขาเรียนจบออกมากำลังจะตกงาน พ่อแม่ที่ผ่านมาถูกให้ออกจากงาน พวกเขาทนอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ว่ามีคนฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจไม่ไหวแล้ว พวกเขาถูกตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีกจากการพิจารณางบประมาณของรัฐบาลที่ไม่ยึดโยงกับความต้องการและความเดือดร้อนของพวกเขาไม่ไหวแล้ว พวกเขาทนกับเหตุการณ์แบบที่เกิดขึ้นที่ระยองไม่ไหวแล้ว พวกเขาทนกับการซื้อเครื่องบินของกองทัพไม่ไหวแล้ว
“เรากำลังพูดถึงกลุ่มคนที่กำลังโกรธเกรี้ยวต่อความอยุติธรรม เรากำลังพูดถึงกลุ่มคนที่ทนไม่ไหวเพราะอนาคตของพวกเขากำลังถูกพรากไป พวกเราคุยในห้องแอร์แบบนี้สบายๆ เงินเดือนเราเข้าเต็ม แต่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศกำลังออกมา และถนนคือที่ๆ พวกเขาแสดงความโกรธเกรี้ยวได้ ไม่ใช่กรรมาธิการวิสามัญ” นายปดิพัทธ์ กล่าว
นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปอีกว่า สิ่งที่พวกเราต้องทำในฐานะผู้แทนราษฎรไม่ใช่การจัดพิธีกรรมรับฟังความคิดเห็น แต่เราต้องปกป้องสิทธิของพวกเขา เราต้องยืนยันว่าพวกเขาสามารถชุมนุมได้ นี่คือสิทธิตามรัฐธรรมนูญ นี่คือสิทธิของคนที่ต้องการแสดงออก ต้องการรวมตัวกัน และการชุมนุมอย่างสร้างสรรค์เป็นไปได้
การที่มีสื่อจะมาคอยบอกว่ามีคนชักใยอย่างนั้นอย่างนี้คือการดูถูกประชาชน ถ้ารัฐยังไม่เชื่อว่าคนมีเจตจำนงที่เป็นเสรีชน ถ้ารัฐยังไม่เชื่อว่าคนสามารถออกมาชุมนุมได้โดยเจตจำนงของตัวเอง แต่ต้องคอยมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง แบบนี้รัฐจะมีความจริงใจในการพูดคุยได้อย่างไร เมื่อรัฐยังคงดูถูกประชาชน และยังปล่อยให้สื่อเหล่านี้เสี้ยมให้เกิดความเกลียดชังผู้ชุมนุมด้วย
ทั้งนี้ ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน รู้ดีว่าสิทธิเสรีภาพและพัฒนาการทางการเมืองของประเทศนี้ถอยหลังกลับไปแค่ไหน จากข้อร้องเรียนที่ตนได้รับมาตลอดการทำงาน การเลือกตั้งของเราถอยหลังกลับไปมากกว่า 30 ปี และยังคงมีคนมาเรียกร้องมากมายว่ารัฐไม่เห็นหัวประชาชน
“เพราะฉะนั้นทางออกเดียวที่สภาแห่งนี้อยากจะแนะนำนายกรัฐมนตรี คือคุณไปหาผู้ชุมนุม ไปมือเปล่า นอนให้พอ อารมณ์ดีๆ เพราะสิ่งที่ประชาชนจะพูดกับคุณไม่เหมือนกับสิ่งที่ท่านอ่านในรายงานแน่นอน” นายปดิพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย