ไม่พบผลการค้นหา
ดร.ณพลเดช มณีลังกา นักกฎหมายมหาชน ชู 5 เหตุผล พรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคชนะการเลือกตั้งอันดับหนึ่ง ไม่ควรสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯจากพรรคภูมิใจไทย ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติ-คดีเขากระโดง-ฮั้ว สว.-ความแตกต่างเชิงนโยบาย-สืบทอดอำนาจ ย้ำรัฐบาลรักษาการ มีอำนาจยุบสภา

ดร.ณพลเดช มณีลังกา นักกฎหมายมหาชน และ สว. สำรอง กลุ่ม 16 จังหวัดเชียงราย แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568ระบุว่า จากความวุ่นวายเพื่อแย่งกันเสนอนายกรัฐมนตรี ผมอยากฝาก พรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคชนะการเลือกตั้งอันดับหนึ่ง ไม่ควรสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจาก ภท. โดยมีเหตุผลสำคัญดังนี้ครับ

1. ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติที่ว่าพรรคอันดับหนึ่งซึ่งได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดย่อมมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน หากตั้งไม่ได้ควรให้พรรคอันดับสองจัดตั้ง แต่เมื่อพรรคประชาชนเลือกสนับสนุน ภท. ซึ่งเป็นพรรคอันดับสาม จะเท่ากับข้ามลำดับ เป็นการทำลายหลักการที่ตนเองเคยยึดถือ และอาจสร้างบรรทัดฐานที่ส่งผลเสียในอนาคต โดยเฉพาะหากพรรคประชาชนกลับมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งอีกครั้งในอนาคต ก็อาจเผชิญสถานการณ์เดียวกันนี้ที่ทำให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

2. คดีเขากระโดงที่ยังไม่สิ้นสุด ซึ่งเป็นข้อพิพาททางกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินและผลประโยชน์ของรัฐ การสนับสนุนพรรค ภท. ซึ่งมีแกนนำพัวพันกับคดีดังกล่าว อาจสร้างคำถามถึงจุดยืนด้านธรรมาภิบาลของพรรคประชาชน และทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนที่ต้องการเห็นการเมืองไทยที่โปร่งใส

3. ข้อกล่าวหาการฮั้วกับ ส.ว. พรรค ภท. เคยถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือการ “ฮั้ว” กับ ส.ว. เพื่อแลกกับการสนับสนุน การจับมือกับพรรคที่มีข้อกล่าวหาเช่นนี้สวนทางกับอุดมการณ์ของพรรคประชาชนที่เคยชูธงปฏิรูปวุฒิสภา และอาจทำให้การผลักดันวาระปฏิรูปในอนาคตขาดความชอบธรรม

4. ความแตกต่างเชิงนโยบายสุดขั้ว พรรคประชาชนมีนโยบายที่เน้นการปฏิรูปโครงสร้าง การทลายทุนผูกขาด และการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับแนวทางประชานิยมของ ภท. เช่น นโยบายกัญชา การร่วมรัฐบาลกับ ภท. อาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านนโยบายและการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ

5. การเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเดิม ภท เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่พรรคประชาชนและผู้สนับสนุนมองว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง การสนับสนุน ภท. อาจถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจและทรยศต่อเจตจำนงของประชาชนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

นอกจากนี้ มีข้อถกเถียงรัฐบาลรักษาการยุบสภาได้หรือไม่นั้น มีข้อพิจารณาโดยสามารถวิเคราะห์ได้จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ดังนี้

ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 103 ระบุว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร โดยผ่านพระราชกฤษฎีกา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทูลเกล้าฯ เสนอและลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ อย่างไรก็ตาม มาตรา 168 ซึ่งบัญญัติถึงสถานะของคณะรัฐมนตรีรักษาการในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ไม่ได้กำหนดข้อจำกัดด้านอำนาจไว้

ขณะที่มาตรา 169 ซึ่งใช้ในกรณีที่อายุสภาสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภา ระบุข้อจำกัดด้านอำนาจอย่างชัดเจน เช่น การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง หรือการอนุมัติงบประมาณที่สร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดใหม่ แต่ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบันที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของมาตรา 168

ดังนั้น รัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบันจึงมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีสามารถทูลเกล้าฯ ถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางกฎหมาย

นอกจากนี้ หลักกฎหมายปกครองทั่วไปยังสนับสนุนว่า ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่แทนในตำแหน่งใด ย่อมมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งนั้นทุกประการ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติจำกัดไว้ ซึ่งในกรณีนี้ไม่มีบทบัญญัติที่จำกัดอำนาจของผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญยังระบุข้อห้ามการยุบสภาเพียงกรณีเดียว คือระหว่างการพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ปัจจุบัน

นอกจากนี้ ในอดีตเคยมีกรณีที่รัฐบาลรักษาการใช้อำนาจเต็ม เช่น รัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ในช่วงปี พ.ศ. 2516-2518 ซึ่งได้ตราพระราชกฤษฎีกาหลายฉบับเพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองและนำประเทศไปสู่การเลือกตั้งครับ ในระดับสากล ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เช่น สหราชอาณาจักรหรือออสเตรเลีย ก็ใช้การยุบสภาเป็นเครื่องมือปกติในการแก้ไขภาวะทางตันทางการเมือง เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ นายกรัฐมนตรีมีสิทธิที่จะคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้งครั้งใหม่ ไม่เช่นนั้นเราจะฝ่าวิกฤติการเมืองอย่างไรกัน

ดังนั้น การยุบสภาโดยรัฐบาลรักษาการจึงถือเป็นเครื่องมือที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและหลักปฏิบัติสากล เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองและคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ผ่านการเลือกตั้งใหม่