ไม่พบผลการค้นหา
ทำความรู้จัก 'หมิงตี้เคมีคอล' ธุรกิจพลาสติกยักษ์ใหญ่ของไต้หวัน หลังเกิดเหตุไฟไหม้โรงงานฐานการผลิตในไทยที่มีกำลังการผลิตราว 30,000 ตันต่อปี 'วอยซ์' สอบถามข้อมูลเบื้องต้น สำนักงานใหญ่ไต้หวันแจงยังไม่ทราบรายละเอียด และแยกการบริหาร

จากกรณีเกิดเหตุระเบิดและไฟไหมโรงงานผลิตวัตถุดิบพลาสติกของบริษัท หมิ่งตี้เคมีคอล ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการตั้งแต่ช่วงเวลากลางดึกของวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา จนแรงระเบิดส่งผลให้เกิดควมเสียหายต่อบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมกับมีคำสั่งให้อพยพประชาชนในรัศมีโดยรอบจุดเกิดเหตุภายใน 5 กิโลเมตร วันนี้ได้มีประกาศขยายรัศมีพื้นที่เสี่ยงภัยที่ต้องอพยพประชาชน เป็น 10 กม. เพราะกระแสลมเปลี่ยนทิศ และจนถึงช่วงเย็นวันนี้ (5 ก.ค.) ยังคงไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองอธิบดี​กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แถลงว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว 1 บ่อ แต่ยังมีอีก 1 บ่อที่จะต้องใช้อากาศยานเข้าไประงับเหตุ ขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว 8 เที่ยวบินช่วยให้เพลิงไหม้ลดลง

จากการตรวจสอบของ 'วอยซ์' พบว่าบริษัทหมิงตี้เคมีคอล ประเทศไทย ที่เกิดเหตุนั้น ดำเนินกิจการผลิตเม็ดโฟมโดยการผลิตเม็ดพลาสติกและพลาสติกตั้งต้นเชิงอุตสากรรม โดยมีบริษัทแม่คือ Ming Dih Chemical Group Corporation เป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมพลาสติกและเคมีภัณฑ์สัญชาติไต้หวัน มีสำนักงานใหญ่นครเกาสง ทางตอนใต้ของประเทศ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทระบุว่า Ming Dih Chemical Group Corporation ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2529 มีบริษัทย่อยแบ่งเป็น 4 แห่ง ที่ดำเนินธุรกิจทั่งในไต้หวัน จีน และ ประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือ Ming Dih Chemical Co., Ltd. (Thailand) เริ่มดำเนินธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2541 ผลิตวัตถุดิบพลาสติกประเภท Expanded Polystyrene (EPS) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดหนึ่งที่เกิดจากผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตปิโตรเลียม หรือเม็ดพลาสติกสำหรับตั้งต้นในอุตสาหกรรม และสำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โดยโรงงานที่เกิดเหตุในประเทศไทยมีกำลังการผลิตที่ราว 30,000 ตันต่อปี เน้นทำตลาดในประเทศไทยรวมถึงประเทศแถบใกล้เคียงไทย ยุโรป และ สหรัฐอเมริกา

อีกหนึ่งในบริษัทย่อยของ Ming Dih Chemical Group Corporation คือ Ming Dih Industry Co., Ltd Taiwan ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2529 ดำเนินธุรกิจผลิตวัตถุดิบพลาสติกชนิดเดียวกันคือโฟม Expanded Polystyrene (EPS) มีตลาดส่งออกวัตถุดิบดังกล่าวไปยัง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยปริมาณการผลิตสูงถึง 160,000 ตัน 

ทั้งนี้ นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้ให้ความรู้ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่า สารสไตรีนโมโนเมอร์ที่ใช้ในการผลิตพลาสติกเป็นของเหลวใสและข้นเหนียว เมื่อถูกเผาไหม้จะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์(CO) จำนวนมากอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

'วอยซ์' สอบถามข้อมูลไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทหมิ่งตี้ในเมืองเกาสง ทางบริษัทปฏิเสธการให้ข้อมูลใดๆในเบื้องต้นเกี่ยวกับการระเบิดและไฟไหม้ โดยชี้แจงว่ายังไม่ทราบรายละเอียดของเหตุการณ์รวมถึงข้อมูลผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต พร้อมอธิบายว่าบริษัทในไทยอยู่ภายใต้การบริหารที่แยกออกจากกัน