เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่6 พ.ค. 2566 ที่ลานกิจกรรมอเนกประสงค์ หน้าสระใหญ่ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา พรรคเพื่อไทยเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย โกศล ปัทมะ ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 6 พรรคเพื่อไทย เบอร์ 6 โดยมี เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย, ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, พานทองแท้ ชินวัตร ที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการการเลือกตั้ง ส.ส, นพดล ปัทมะ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
จาตุรนต์ ฉายแสง ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ, อดิดร เพียงเกษ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย, ปิยะนุช ยินดีสุข ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 7 เบอร์ 1 และ พรเทพ ศิริโรจนกุล ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 16 เบอร์ 1 โดยมีประชาชนฟังการปราศรัยกว่า 10,000 คน โดย เศรษฐา ได้ขึ้นเวทีปราศรัย เป็นเวทีที่ 4 ที่ อ.บัวใหญ่ หลังก่อนหน้านี้เดินทางไปปราศรัยที่ อ.ครบุรี อ.โนนสูง อ.พิมาย ตามลำดับ
เศรษฐา ปราศรัยว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้มาเยือน จ.นครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศ และมี ส.ส. มากถึง 16 คน ขณะเดียวกันตนเติบโตมาเห็นความเจริญของจังหวัดนครราชสีมามาอย่างยาวนาน แต่ช่วง 20 ปีหลัง ด้วยความที่จังหวัดนครราชสีมา มี ส.ส. แตกออกไปหลายพรรคการเมือง การพัฒนาจังหวัดเลยเหมือนหยุดนิ่งไป
อีกทั้ง 8 ปีที่ผ่านมาโครงการรถไฟความเร็วสูง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ที่เข้ามายึดอำนาจ เขียนรัฐธรรมนูญให้ตัวเองอยู่ได้ กลับสร้างได้แค่ไม่กี่กิโลเมตร คำถามคือแล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ ประชาชนจะต้องอยู่กับความฝันไปอีกนานเท่าไหร่ว่า จังหวัดนครราชสีมาจะได้เป็นศูนย์กลางการอุตสาหกรรมของประเทศสักที “หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ถูกรัฐประหารเสียก่อน ป่านนี้คงเสร็จไปถึงประเทศจีนแล้ว”
เศรษฐา ระบุว่าการรัฐประหารทำให้ประเทศถดถอยลงเรื่อยๆ การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะเป็นการชี้ชะตาประเทศว่าจะถดถอยเหมือนเดิม หรือจะเดินต่อไปข้างหน้า “ไม่ต้องมาสัญญาว่าถ้าเลือกแล้วจะทำ ทำไมตอนมีอำนาจกลับไม่ทำแต่แรก” ก่อนย้ำถึงนโยบายพรรคเพื่อไทย ที่พูดแล้วทำได้จริงโดยเริ่มจากขึ้นค่าแรงให้เป็น 400 บาทต่อวัน รวมถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก จะอนุมัติได้ทันทีคือลดค่าไฟ พักหนี้ประชาชนทั้งต้นทั้งดอก 3 ปี
“ผมขอวิงวอนให้พี่น้องช่วยเลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามาทำงาน อย่าให้ใครมาด้อยค่าว่านโยบายของเราทำไม่ได้จริง เราคิดใหญ่ทำเป็น ถ้า 2 ลุงกลับมาตลาดแคบลง สินค้าขายไม่ได้ เป็นหนี้เพิ่ม ตอนนี้เราต้องการผู้นำที่ทำงานให้ประชาชนทุกวินาที เข้าคูหากาเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์” เศรษฐา กล่าว
ทั้งนี้ก่อนเศรษฐาจะขึ้นปราศรัย ได้จับเข่าคุยกับประชาชนที่มารอฟังปราศรัย พร้อมถามถึงความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิตที่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยผู้สูงอายุหลายคนได้สะท้อนและขอให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้อง ทำเศรษฐกิจให้ดี ซึ่งเศรษฐา ได้รับปากและยืนยันว่าหากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล จะผลักดันทุกนโยบายได้จริงอย่างผลงานในอดีตที่ผ่านมา
ขณะที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่าเวลานี้เป็นเวลาแห่งการต่อสู้ที่แหลมคมของทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายประชาธิปไตย คือพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ย้อนไปปี 2549 ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต้องด่าเหยียบย่ำทักษิณ ชินวัตร ถ้าใครสนับสนุนจะโดนด่าไปด้วยอย่างไม่มีชิ้นดี ยกตัวอย่างเช่น เนวิน ชิดชอบ แต่เมื่อเนวิน พลิกขั้วกลับไปกอดเอว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สนับสนุนตั้งรัฐบาล
มวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ไม่เคยต่อต้านเนวินอีกเลย หรือต่อต้านอภิสิทธิ์ว่าไปเอาพวกเนวินคนของทักษิณมาได้อย่างไร หรือยกตัวอย่างใกล้ๆ แรมโบ้อีสาน ผู้โดดเด่นเรื่องความกตัญญูในโคราช สมัยเป็นแกนนำเสื้อแดง ฝ่ายอนุรักษนิยมด่ายับ แต่ทันทีที่พลิกไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มวลชนฝ่ายอนุรักษนิยม ก็อ้าแขนรับทันที ไม่มีมวลชนไปโวยวาย แถมยังเชียร์แรมโบ้ยกเป็นฮีโร่ของฝ่ายอนุรักษนิยม
สองเหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่า มวลชนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเขาไม่ได้มีหลักการ เขายึดแต่เป้าหมาย เป้าหมายคือคือช่วงชิงอำนาจรัฐจากฝ่ายตรงข้าม เขารู้ว่าอภิสิทธิ์เลือกตั้งกีทีก็แพ้ แต่พอดึงเนวินไปร่วมตั้งรัฐบาล มวลชนอ้าแขนรับทันทีเพราะบรรลุเป้าหมายเป็นรัฐบาล นี่ก็เช่นเดียวกันเป้าหมายมวลชนเขาคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้เหยียบย่ำพรรคเพื่อไทยให้จมดิน ใครย้ายข้างไปเขาเปิดรับ เพราะเขาเน้นเป้าหมาย
“ผมไม่ได้บอกให้เรามองแต่เป้าหมายหรือไม่สนใจอุดมการณ์ไม่ใช่ แต่เราต้องยึดหลักการให้มั่นคงและอ่านเป้าหมายให้ขาดว่า วันนี้เป้าหมายเราคืออะไร ถ้าเป้าหมายของเราคือตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยให้ได้ หยุดอำนาจประยุทธ์-ประวิตร ให้ออกไปจากวงจรการเมือง โดยไม่ต้องทรยศอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเมื่อเป้าหมายชัด จึงชวนทุกท่านจับมือพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเดียวที่จะชนะ เกิน 300 ที่นั่งให้ได้ เป็นเป้าหมายแรกก่อน”
“ไม่ว่าท่านจะฝันเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่าเป้าหมายจะยิ่งใหญ่กว้างไกลเพียงไหน แต่ถ้าไม่บรรลุเป้าหมายแรกคือ เปลี่ยนรัฐบาลไม่ได้ ท่านก็ไม่มีทางเดินไปสู่เป้าหมายต่อๆ ไป ดังนั้น เที่ยวนี้ แม่นยำในเป้าหมาย ชัดเจนในเป้าหมาย และสำเร็จไปด้วยกัน ยืนยันประชาธิปไตยเลือกพรรคเพื่อไทยแลนด์ทั้งแผ่นดิน ตั้งรัฐบาลของประชาชน” ณัฐวุฒิ กล่าว